svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

เมื่อการกินเนื้อสัตว์ ทำให้โลกร้อนมากกว่าที่คิด

หากต้องเลือกบริโภคเนื้อสัตว์สักหนึ่งชนิด รู้ไหมว่าเนื้อสัตว์ชนิดไหนทำให้โลกร้อนมากที่สุด แล้วเนื้อสัตว์ชนิดไหนที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม?

หลายคนน่าจะพอได้ยินกันมาบ้างว่า การกินเนื้อสัตว์ก็มีส่วนทำให้โลกร้อน เพราะทุกวันนี้ผู้คนทั่วโลกบริโภคเนื้อสัตว์กันมากกว่า 6 หมื่นล้านตัวในแต่ละปี ซึ่งมีผลกระทบที่สำคัญมาก ๆ ต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มาจากฟาร์มหรือปศุสัตว์ 

โดยรายงานล่าสุดขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ระบุเลยว่า ปศุสัตว์มีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์สร้างขึ้นถึง 14.5% ซึ่งเป็นปริมาณเท่ากันกับก๊าซเรือนกระจกที่มาจากรถยนต์ เครื่องบิน เรือ และรถไฟทั่วโลก

เมื่อการกินเนื้อสัตว์ ทำให้โลกร้อนมากกว่าที่คิด

เนื้อสัตว์ที่ยิ่งกินก็ยิ่งทำให้โลกร้อนมากที่สุดก็คือ "เนื้อวัว" เพราะวัวคือสัตว์กินหญ้าที่มักจะเรอหรือผายลมออกมาเป็นก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาล วัวหนึ่งตัวสามารถปล่อยก๊าซมีเทนได้มากถึง 500 ลิตรในทุก ๆ วัน ขณะที่ทั่วโลกมีการเลี้ยงวัวมากกว่า 1.5 พันล้านตัว แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ยังบอกว่า ฟาร์มเลี้ยงวัวบางแห่ง อาจก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่สร้างความเสียหายได้มากกว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันเสียอีก และก๊าซมีเทนที่วัวปล่อยออกมายังถือเป็นก๊าซเรือนกระจกที่เลวร้ายกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากอุตสหกรรมอื่นๆถึง 25 เท่า

เมื่อการกินเนื้อสัตว์ ทำให้โลกร้อนมากกว่าที่คิด

ส่วนเนื้อสัตว์ที่ยิ่งกินยิ่งดีต่อโลกก็คือ "หอยแมลงภู่" ที่ถูกจัดให้เป็นเนื้อสัตว์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพราะการเลี้ยงหอยแมลงภู่หรือการนำหอยแมลงภู่จากทะเลมาสู่จานอาหารของเรา มีขั้นตอนน้อย สูญเสียพลังงานแค่เล็กน้อยมาก แถมพวกมันยังมีความสามารถในการช่วยดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และกักเก็บไว้ในเปลือกของมันตลอดช่วงระยะเวลาในการเติบโตด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราหันมารับประทานหอยแมลงภู่กันเยอะๆก็จะช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น

เมื่อการกินเนื้อสัตว์ ทำให้โลกร้อนมากกว่าที่คิด

แต่คงไม่มีใครกินหอยแมลงภู่ได้ทุกวัน เราไม่ต้องทำกันขนาดนั้นก็ได้

เรายังสามารถเลือกบริโภคเนื้อไก่ ที่ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในปริมาณที่น้อยกว่าวัวถึง 4 เท่า โดยเฉพาะไก่ที่เลี้ยงในฟาร์มแบบปิดและมีระบบประหยัดพลังงาน ส่วนเนื้อหมูเองก็เป็นตัวเลือกที่ไม่แย่ เพราะผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าวัวถึง 2 เท่าเช่นกัน

การเลือกซื้อเนื้อสัตว์จากตลาดหรือผู้ค้าท้องถิ่นก็สำคัญ เพราะหมายความว่าเนื้อสัตว์เหล่านั้นไม่ต้องผ่านการขนส่งทางไกลที่สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง หรือหากทำได้ ให้ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง กินเนื้อไม่เกินวันละ 100 กรัม และหันมากินผักผลไม้ให้มากขึ้น นอกจากช่วยสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย