ชาวเอกวาดอร์ใช้สิทธิในการลงประชามติที่จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ (21 เมษายน 2567) เพื่อสอบถามความเห็นประชาชน 11 คำถาม ซึ่งส่วนใหญ่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเพิ่มอำนาจกวาดล้างแก๊งอาชญากร ข้อเสนอมีทั้งการใช้กำลังทหารปราบปรามแก๊งอาชญากร, ผ่อนคลายข้อบังคับที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งตัวอาชญากร, เพิ่มโทษจำคุกนานขึ้นสำหรับคดีลักลอบค้ายาเสพติด, ควบคุมปืนเข้มงวดขึ้นในพื้นที่ใกล้เรือนจำ และไม่มีการปล่อยตัวด้วยเงื่อนไขทัณฑ์บนสำหรับคดีอาญา เช่น ลักพาตัว สนับสนุนทางการเงินสำหรับการก่อการร้าย
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่สามารถลงประชามติในครั้งนี้มีจำนวน 13.65 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงนักโทษ ประธานาธิบดีดาเนียล โนโบอา ต้องการสอบถามความเห็นประชาชนเกี่ยวกับมาตรการกวาดล้างแก๊งอาชญากร หลังจากแก๊งค้ายาเสพติดเหิมเกริมก่อเหตุปล่อยตัวนักโทษออกจากเรือนจำ จับเจ้าหน้าที่เรือนจำเป็นตัวประกัน ยึดสถานีโทรทัศน์ขณะกำลังแพร่ภาพออกอากาศ และสร้างความปั่นป่วนทั่วกรุงกิโตเมื่อเดือนมกราคม
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้นำวัย 36 ปี ประกาศภาวะสงครามภายในประเทศเพื่อกวาดล้างแก๊งค้ายาเสพติดและแก๊งอาชญากรกลุ่มต่าง ๆ โดยให้อำนาจกองทัพตามจับแก๊งอาชญากรราว 20 กลุ่ม ที่ถูกขึ้นบัญชีดำเป็น “ผู้ก่อการร้าย”
และในขณะที่ประชาชนใช้สิทธิลงประชามติครั้งล่าสุด มีรายงานว่า ผู้บัญชาการเรือนจำมานาบิ หมายเลข 4 ในภาคตะวันตกของประเทศ ถูกสังหารที่ร้านอาหารในเมืองหนึ่ง นอกจากนี้นายกเทศมนตรี 2 รายถูกฆ่าตายในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา และนับตั้งแต่เดือนมกราคมปีที่แล้ว มีนักการเมืองรวมอย่างน้อย 10 รายถูกสังหาร ซึ่งรวมถึงผู้สมัครประธานาธิบดีที่ถูกยิงเสียชีวิตขณะหาเสียงเมื่อเดือนสิงหาคม
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เอกวาดอร์เผชิญอาชญากรรมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจนทำให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอาชญากรรมรุนแรงมากที่สุดในโลก และในปี 2566 มีอัตราการฆาตกรรม 40 ครั้งต่อประชากร 100,000 คน และมีคดีลักพาตัว คดีรีดไถ คดีทำร้ายร่างกาย และอาชญากรรมอื่น ๆ เพิ่มสูงขึ้น
เอกวาดอร์เคยเป็นประเทศที่สงบสุขที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาใต้ แต่เนื่องจากตั้งอยู่ระหว่างสองประเทศผู้ผลิตโคเคนรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ เปรูและโคลอมเบีย ทำให้ท่าเรือน้ำลึกของเอกวาดอร์เป็นเส้นทางสำคัญในการลอบขนส่งโคเคนไปยังสหรัฐฯ และยุโรป แก๊งอาชญากรจึงต่อสู้แย่งชิงอำนาจควบคุมเส้นทางลอบขนยาเสพติดแห่งนี้