
ผลการศึกษาที่จัดทำร่วมกันโดยมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งมาเลเซีย, มหาวิทยาลัยมาเลเซีย ซาบาห์ และมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม มาเลเซีย และเผยแพร่โดยศูนย์เพื่อสื่อมวลชนอิสระ (CIJ) ระบุว่า พรรคปาร์ตี อิสลาม เซมาเลเซีย (PAS) และฮาดี อาวัง หัวหน้าพรรค เป็นตัวการสำคัญของการใช้วาทกรรมสร้างความเกลียดชังด้านเชื้อชาติในช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไป ที่จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2565 และบางโพสต์เกี่ยวกับเชื้อชาติยังเป็นข้อมูลเท็จอีกด้วย
ผลการศึกษาติดตามบัญชีผู้ใช้ของนักการเมืองและผู้นำในรัฐบาลกว่า 90 รายในทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ก, ยูทูบ และติ๊กต็อก และพบว่า จำนวนวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง หรือ เฮท สปีช เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเป็น 99,563 เรื่องในช่วงวันที่ 20 ตุลาคม 2565-26 พฤศจิกายน 2565 เมื่อเทียบกับ 55,000 เรื่องจากผลการศึกษาช่วงวันที่ 16 สิงหาคม-30 กันยายน
หลังจากการยุบสภาในวันที่ 10 ตุลาคม นำไปสู่การเริ่มต้นหาเสียงอย่างไม่เป็นทางการสำหรับการเลือกตั้งที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน
แม้พรรค PAS เป็นพรรคฝ่ายค้าน โดยเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตร เปริกาตัน นาซิอองนาล (PN) แต่เป็นพรรคใหญ่ที่สุดในรัฐสภาเป็นครั้งแรก โดยสามารถคว้าที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มากถึง 43 ที่นั่งจากทั้งหมด 222 ที่นั่ง
รายงานผลการศึกษา ระบุว่า เนื่องจากขาดคำนิยามที่ตกลงร่วมกันของคำว่า Hate Speech จึงกำหนดระดับความรุนแรงขึ้นเอง แบ่งเป็น intolerant (ไม่อาจอดกลั้น), discriminatory (เลือกปฏิบัติ) และ dehumanizing (ลดทอนความเป็นมนุษย์) และ Hate Speech ที่ปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงและการทำร้ายร่างกาย
ผลการศึกษาพบว่า ฮาดี หัวหน้าพรรค PAS เป็นนักการเมืองหรืออินฟลูเอนเซอร์เพียงคนเดียว ที่มีโพสต์ 2 ชิ้น ถูกจัดความรุนแรงอยู่ในระดับ 3 ซึ่งหมายถึง มีภาษาที่ลดทอนความเป็นมนุษย์และมุ่งร้าย
ขณะที่เกือบ 2 ใน 3 ของโพสต์ทั้งหมดที่มีการวิเคราะห์เป็นเรื่องเกี่ยวกับเชื้อชาติ และเกือบ 1 ใน 4 เป็นเรื่องศาสนา แต่โพสต์จำนวนมากมักมีทั้งสองเรื่องอยู่ด้วยกัน หรือ ประเด็นอื่น ๆ
และโพสต์เกือบ 14% เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ ส่วนโพสต์เกี่ยวกับเพศ และกลุ่มคน LGBTIQ มีสัดส่วนเกือบ 7% และโพสต์ไม่ถึง 4% พุ่งเป้าเรื่องผู้อพยพและผู้ลี้ภัย