มีแนวโน้มที่ปรากฏการณ์เอลนีโญ อาจเสี่ยงก่อให้เกิดปัญหาหมอกควันครั้งรุนแรงซ้ำรอยเมื่อปี 2015 ซึ่งตอนนั้น ได้เกิดไฟป่าลุกไหม้ป่าพรุแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนเกิดหมอกควันตามมา
ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจึงเตือนให้ภูมิภาคนี้เร่งเตรียมการรับมือปัญหาหมอกควันที่อาจรุนแรงขึ้นอีกรอบ จากปัจจุบัน ที่ปัญหานี้ก็แรงอยู่แล้วในภาคเหนือของอาเซียน ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศเลวร้ายที่สุดในรอบสิบปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการเผาตอซังข้าวและซังข้าวโพดตามฤดูกาล
ผู้อำนวยการองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Global Environment Centre (GEC)ในมาเลเซีย บอกว่า แม้มันยังเร็วเกินไปที่จะตำหนิบริษัทหรืออุตสาหกรรมบางกลุ่มว่า เป็นต้นตอก่อให้เกิดปัญหาหมอกควันในพื้นที่ทางเหนือของอาเซียน
แต่ที่ผ่านๆ มา ปัญหานี้ มีความเชื่อมโยงกับการขยายตัวของระบบเกษตรแบบพันธสัญญาที่นำมาใช้กับการปลูกข้าวโพด ป้อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ทั้งในภูมิภาคและทั่วโลก นอกจากนี้ การเผาฟางข้าวและกากของเหลือจากการเกษตรก็มีส่วนก่อให้เกิดหมอกควันเช่นกัน
แต่ตอนนี้ บรรดานักวิทยาศาสตร์กำลังเป็นห่วงว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญที่ใกล้เข้ามา อาจทำให้ปัญหาหมอกควันในอาเซียนรุนแรงขึ้น เพราะเอลนีโญทำให้เกิดภัยแล้ง
ในช่วงไม่กี่ปีก่อน อากาศในภูมิภาคอาเซียนดูเย็นลง เป็นผลจากปรากฏการณ์ ลานีญา ที่เกิดติดต่อกันอย่างแปลกประหลาด แต่ผู้เชี่ยวชาญในสิงคโปร์บอกว่า ตอนนี้ สภาพอากาศกำลังเปลี่ยนไปในแบบของเอลนีโญ
เอลนีโญ และลานีญา เป็นปรากฏการณ์คู่ตรงข้าม เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิระหว่างมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศเหนือบริเวณแถบเส้นศูนย์สูตรในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก เอลนีโญจะทำให้อากาศอุ่นขึ้น ส่วนลานีญาจะทำให้อากาศเย็นลง
ครั้งสุดท้ายที่เกิดเอลนีโญ ก็คือปี 2016 ทำให้ไฟป่าในอาเซียนรุนแรงขึ้น ส่วนใหญ่เกิดตรงป่าพรุในอินโดนีเซีย ที่ถูกระบายน้ำออกเพื่อนำไปทำเป็นสวนปาล์มน้ำมัน เยื่อกระดาษและการผลิตกระดาษ คร่าชีวิตประชาชนถึง 1 แสนคน จากการสูดดมควันและต้องใช้งบ 3 หมื่น 5 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท กว่าที่สถานการณ์จะได้รับการควบคุม
ส่วนปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่ใกล้เข้ามาในตอนนี้ ก็ส่งผลให้เกิดคลื่นความร้อนอย่างกะทันหัน ทำให้ปี 2023 ร้อนกว่าปี 2022 อาจส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงด้านอาหารและน้ำ และปัญหาความยากจนในอีกหลายล้านคน
ผู้อำนวยการองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Global Environment Centre (GEC)ในมาเลเซีย บอกว่า ความรุนแรงของไฟป่าและปัญหาหมอกควันในปีนี้ ขึ้นอยู่กับภัยแล้งและมาตรการป้องกันไฟป่า ซึ่งก็มีความเสี่ยงว่า บางประเทศในแถบอาเซียน ดูจะชะล่าใจ หลังสภาพอากาศเย็นลงติดต่อกันมาหลายปี
แต่ในส่วนของอินโดนีเซีย ควรเตรียมตัวให้ดีกว่าปี 2015 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไฟป่าตรงบริเวณป่าพรุขึ้นมาอีก โดยมีสาเหตุมาจากการระบายน้ำออกจากป่าพรุเพื่อให้บริษัทอุตสาหกรรมได้เข้ามาเพาะปลูก แต่การทำเช่นนี้ จะทำให้ป่าพรุติดไฟง่ายและไหม้ลามยืดเยื้อ เพราะดินของป่าพรุที่เต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนจะลุกไหม้อยู่ภายใน
ผู้อำนวยการองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Global Environment Centre (GEC)ในมาเลเซีย ไม่คิดว่า ภัยแล้งและปัญหาหมอกควันที่อาจเกิดกับอาเซียนปีนี้ จะแรงเท่าปี 2015 แต่ก็มองว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญมันยากต่อการคาดเดา
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อินโดนีเซียระบุว่า มีโอกาส 50% ที่จะเกิดเอลนีโญปีนี้ และเตือนเกษตรกรรวมถึงบริษัททางการเกษตรให้เฝ้าระวัง อินโดนีเซียเคยเกิดหมอกควันครั้งรุนแรงและแพร่ลามไปยังประเทศเพื่อนบ้านมาแล้ว ทั้ง สิงคโปร์และมาเลเซีย เมื่อปี 1997 2015 และ 2019