
ซึ่งศิลปินเพลงคนดังแดนใต้ ผู้พยายามผลักดันเรื่องวัฒนธรรมมาโดยตลอด กล่าวว่า ขอเสนอความคิดเห็นเป็น 2 มุม คือในมุมของคนเป็นศิลปิน และมุมของคณะกรรมการ
"คนเป็นศิลปิน คือผู้สร้างสรรค์งาน จะมีความเป็นอาร์ตติสอยู่ในตัวเยอะมาก บางคนก็ล้น จนขนาดว่าคุยภาษามนุษย์กันไม่รู้เรื่องต้องคุยภาษาภาษาศิลป์ ซึ่งมันมีหลายสเต็ปอยู่นะแล้วคนที่เก่งจริงๆมักจะเป็นม้าพยศ มีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนมากที่สุดทุกคน...
ที่สำคัญที่สุด บุคคลกลุ่มนี้ส่วนมากไม่ได้ใฝ่หาความเป็นศิลปินแห่งชาตินะ ก็มาให้ทำไม กูจะกินเหล้า กูจะเมา กูจะเป็นตัวกูอย่างนี้... นี่คือผมมองผมนะ แล้วมาจำกัดกรอบให้ท่านเดิน ผมว่ายากมาก เพราะวิถีชีวิตของเขามี 1 2 3 ในแบบของเขา"
เมื่อเข้าประเด็นว่า ให้มีการถอดถอนได้ เอกชัย กล่าวอย่างเผ็ดร้อนว่า
"รางวัลเป็นการเชิดชูเกียรติว่าได้ปฏิบัติ หรือแสดงศาสตร์และศิลป์แขนงนี้ จนสมควรได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินของชาติของแผ่นดิน นั่นคือจากผลงานของเขา ไม่ใช่สันดาน ไม่ใช่นิสัย ไม่ใช่พฤติกรรมที่เขาเป็นแต่ต้น"
พร้อมกับบอกว่า ในส่วนของการเมือง "ศิลปินแห่งชาติ" ก็สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ตำหนิได้ แต่ห้ามส่งเสริมฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่ชื่นชอบอย่างออกหน้าออกตา
"อันนี้ไม่ถูกเพราะ มันไม่ใช่หน้าที่คุณ เป็นศิลปินแห่งชาติ จะต้องบอกลูกหลานให้พัฒนาศิลปะในแขนงที่คุณเป็นเท่านั้น"
ในส่วนของคณะกรรมการ ผู้คัดสรรรางวัล เอกชัยมองว่า ถ้ามีการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน มีการตรวจสอบทั้งหน้าที่ และศีลธรรม รวมทั้งความประพฤติปฏิบัติตัว กฎข้อนี้ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้
"เรื่องการถอดถอนในส่วนตัวผมนะ ผมไม่เห็นด้วย เพราะการถอดถอนคือการยอมรับว่าคุณทำผิดเพราะคุณเป็นคนให้ เมื่อต้นทางไม่เช็คให้ดีก็ต้องถูกปลดด้วยกรรมการชุดไหนที่อนุมัติคนนี้ไป ก็ต้องปลดหมด ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ คุณเป็นคนอนุมัติเขา เขาไม่ได้เดินมาขอคุณ"
นอกจากนี้เอกชัย ยอมรับว่ารู้สึกคลางแคลงใจ กับการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติบางคนด้วย
"บางทีก็ขัดแย้งกับเรามากเลยที่ให้ไป ที่บ้านไม่มีอินเตอร์เน็ตเหรอ หาข้อมูลอะไรไม่ได้เลยเหรอ ทำไมอยู่ๆ มันได้รางวัลขึ้นมา คือได้แบบไม่น่าได้อ่ะ คุณทำประโยชน์อะไรกับสังคม คุณก็ไปเยี่ยวใส่กอกล้วยให้มันเป็นปุ๋ยมาบ้างมั้ย ก็ไม่มี แต่คุณให้เป็นศิลปินแห่งชาติ เพราใกล้ชิดคนนั้นคนนี้ ออกกฎออกอะไรต่ออะไร ผมว่าคณะกรรมการควรกลับไปทบทวนบทบาทของตัวเองกันให้ดีดีกว่านะครับ"