
ตอนนั้นอยู่กับอาร์เอสมากี่ปี ช่วงนั้นเรามีคดีเยอะพอสมควร เคยคิดฆ่าตัวตายด้วยใช่ไหม?
โจอี้ : ประมาณ 26-27 ปี ตั้งแต่ก่อนเป็นบาซู พ.ศ 2540 จนโด่งดัง เคยไปออกรายการ คนดังนั่งเคลียร์ ตอนนั้นหมดเงินหมดทองเป็น 10 ล้านบาทในการสร้างเนื้อสร้างตัว คือการสถาบันอบรม พอมีทุนเราอยากจำทำอะไรให้มันใกล้กับความสามารถที่เรามีก็เลยลงทุนทำ สุดท้ายก็ล้มเหลว เพราะไม่มีประสบการณ์ เราเคยคิดจะฆ่าตัวตายคือผมมาจากการไม่มีอะไรเลย เราสู้จนสุดแล้วมันสุดทางจริง ๆ รู้ว่ามันไม่ควรคิด ในเวลาที่เราเป็นศิลปินควบคู่ไปกับการทำธุรกิจยังไงก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะการทำธุรกิจเราต้องโฟกัสที่ตรงนั้น พอมีหลาย ๆ อย่างเหมือนจับปลาสองมือ เรื่องดคีฉ้อโกงไม่ใช่เรื่องของคนอื่นเลยเป็นเรื่องของเราเอง รถเราเองหายไป เราก้ไปตามมาเป็นปี พอได้รถมา กลายเป็นว่าถูกฟ้องว่าสมรู้ร่วมคิด สุดท้ายก็ไกล่เกลี่ยไม่มีอะไร
เหตุการณ์วันนั้นเรื่องราวเป็นอย่างไร?
โจอี้ : จริง ๆ แล้วมันเป็นวันพฤหัสตอนบ่ายโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.โชคชัย มาที่ห้องผม 6 คน มาถึงทางหัวหน้าชุดก็บอกว่าโจอี้ ผมไม่ได้มาจับคุณนะ มาขอความร่วมมือให้ช่วยเหลือราชการ ก่อนหน้านั้นมีผู้หญิงคนนึงอ้างว่าเป็นสายตำรวจเหมือนกัน แต่อยู่อีก สน. นึง มาหาผม แล้วก็มีเพื่อนผมที่จะมาคุยเรื่องธุรกิจรถด้วย กลายเป็นว่าวันนั้นถูกจับทั้งหมดเลย อุปกรณ์เสพผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเอามา คือครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมช่วยนะครับ คนที่จะไปปาร์ตี้กับคนดัง ศิลปิน มันเข้าถึงง่ายมันเป็นจุดหนึ่งที่เราเองก็อันตราย เขาให้ผมโทรขึ้นไปเพื่อให้น้องที่อยู่ข้างบนที่เป็นผู้ขายลงมาข้างล่าง ผมก็พยายามคุยด้วยความที่ตำรวจสามนายอยู่ในห้องนอน ข้างนอกซุ่มอยู่ ทางเราก็ไม่ทราบว่าผู้ขายจะลงมาที่ห้องผมหรือจะลงไปข้างล่างก็เลยต้องเฝ้ารอก่อน ผมบอกเจ้าหน้าที่ทุกคนว่าถ้าจะขึ้นให้ระวังเพราะน้องมีอาวุธแล้วจิตใจน้องไม่ปกตินะเพราะทะเลาะกับแฟน
ทำไมคนขายถึงรับโทรศัพท์เรา ทั้งที่ปกติเราไม่ได้เป็นคนเสพ?
โจอี้ : คือเรารู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้ว เจอกันปกติเพราะเขามีลูก เราก็มีลูก พูดคุยกันปกติ การที่เขาจะขายให้ใครสักคน ไม่ใช่ว่าพอไปขอซื้อแล้วเขาจะขายเลยนะ แต่สิ่งแรกที่เวลาคนไปเจอกันกับเขาสิ่งที่เขาทำคือ เทสงานก่อน คือลองดูดก่อนไม่งั้นเขาไม่เชื่อใจไม่คุยด้วย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเข้ามาช่วยเหลือ?
โจอี้ : เรียกว่าให้ความร่วมมือดีกว่า ผมมั่นใจว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นผมก็ได้ คนทุกคนสามารถช่วยได้ ผมมีลูกสาวอยู่ในห้องผมไม่ปล่อยให้พื้นที่ตรงนั้นมันไม่ดีหรอก อะไรที่ปกป้องได้เราก็จะทำ คดีอื่น ๆ ก็จับข้างนอกครับ ไม่ได้เข้ามาหาหรือมาปรึกษาแบบนี้
ทำไมไม่บอกกับตำรวจกับสื่อว่าอุปกรณ์การเสพนั้นไม่ใช่ของตัวเอง?
โจอี้ : เสพก็คือเสพไม่ว่าใครจะถือมา ถ้าผมเสพก็คือเสพ เราโกหกคนทั้งประเทศได้แต่โกหกตัวเองไม่ได้ ยอมรับว่าเสพเพราะผลการตรวจปัสสาวะออกมาเป็นสีม่วง เราเครียดอยู่แล้วเรื่องปัญหาส่วนตัว ลูกสาวก็คอยเตือนตลอด ก่อนที่จะเกิดเรื่องวันนั้นผมให้ลูกสาวไปช่วยงานที่ร้านอาหารลาดพร้าว 107 เขาจะได้มีรายได้
โจอี้เป็นสายตำรวจจริง ๆ หรือว่าตำรวจล่อจับเราแล้วตามจับผู้ค้า?
โจอี้ : จากในข่าวจะเห็นเลยว่าของกลางผมไม่มี ปกติถ้ามีการจับกุมของกลางจะต้องมีปริมาณตามที่กฎหมายกำหนด เราเป็นผู้เสพไม่ใช่ผู้ค้า ผู้ค้าที่จับได้คือมีของกลาง 30 กรัม มีวุธปืน กระสุนต่าง ๆ
ตอนให้สัมภาษณ์บอกว่าผมยินดีช่วยงานราชการ ทุกอย่างมันเป็นเกม หมายความว่าอย่างไร?
โจอี้ : มันก็คือเกมจริง ๆ ผมไม่ได้เป็นคนพูดนะเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกกับผมว่า โจอี้ไม่ต้องคิดอะไรมาก มันเป็นแค่เกม เกมนี้คุณแพ้ก็แค่นั้น ผมเลยโมโหอยู่นี่ไง แสดงว่าที่ผมให้ความร่วมมือ แปลว่าผมเป็นเครื่องมือสำหรับการทำงานนี้หรอครับ นี่คือเกมหลอกจับผมหรือเปล่าผมก็คิดแบบนั้น
ลูกสาวต้องหาเงินประกันตัวด้วยใช่ไหม?
ณัฏฐณิชา (ลูกสาวโจอี้) : ใช่ค่ะ ขอยืมเงินอามาหนึ่งหมื่นบาท เราไม่มีแม่ เราอยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ค่ะ วันที่เห็นพ่อออกมา มันทั้งดีใจและเสียใจ อธิบายไม่ถูกค่ะ ดีใจที่พ่อออกมาแต่เสียใจ ผิดหวังในตัวของพ่อ บอกพ่อว่าเรามาเริ่มต้นกันใหม่ อะไรที่ทำผิดแล้วก็ให้มันผ่านไป เรายังต้องทำอะไรอีกเยอะ
โจอี้ : ผมไม่คิดเลยนะว่าลูกสาวจะมาประกันตัว ยอมรับเลยว่าเรื่องที่เราเสียแม่น้องไป ผมต้องเริ่มทุกอย่างใหม่หมดเลย มันเป็นความผิดหวังที่ทำให้เราเสียการทรงตัว เลยทำให้เราล้มเหลวกับอะไรหลายๆ อย่าง