
การประโคมดนตรีในงานพระราชพิธีนั้นถือว่าเป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์และพระบรมวรวงศ์สานุวงค์อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของงานพระราชพิธีควบคู่กับวงประโคมของงานเครื่องสูง สำนักพระราชวัง ซึ่งมีการปฏิบัติสืบเนื่องกันมา โดยพบหลักฐานชัดเจนตั้งแต่สมัยอยุธยา และมีการปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมกับสภาพการณ์ ปัจจุบันการประโคมดนตรีนั้นสามารถแบ่งออกได้สองส่วนคือ การประโคมย่ำยามในการพระราชพิธีสวดพระอภิธรรมพระบรมศพและการประโคมดนตรีในงานพระราชพิธี ออกพระเมรุหรือพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
ซึ่งวงบัวลอย คือชื่อของการบรรเลงดนตรีลักษณะหนึ่ง ในวงประโคม ที่ถูกกำหนด ขึ้นในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งเป็นการประโคมดนตรีแบบโบราณที่จะบรรเลงเฉพาะในงานอวมงคลเท่านั้น โดยจะมีจังหวะช้าเร็วตามกระบวนเพลงที่ถูกกำหนดและเรียบเรียงมาแต่โบราณซึ่งสะท้อนกริยาในขณะเริ่มพระราชพิธีถวายพระเพลิง อาทิ กระบวนเพลงรัวสามลา เป็นการคารวะรำลึกถึงครูอาจารย์ กระบวนไฟชุม จะให้จังหวะเร็วรัวเหมือนไฟกำลังโหม และนางหงส์ทางหลวง จะให้ความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจ เป็นต้น
สำหรับเครื่องดนตรีในวงบัวลอยมีทั้งหมด 4 ชิ้น ประกอบด้วยปีชวา 1 เลา กลองมลายู 1 คู่ และฆ้องเหม่ง 1 ลูก โดยวงประโคมบัวลอยในพระราชพิธีครั้งนี้จะมีทั้งหมด 4 วง ซึ่งเป็นผู้บรรเลงจากสำนักการสังคีตและสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ซึ่งจะประจำอยู่ ณ ศาลาลูกขุนทั้ง 4 ทิศ ทิศละ 1 วง และจะแบ่งการบรรเลงตามลำดับที่กำหนดไว้
ครูผู้สืบทอดการบรรเลงวงประโคมวงบัวลอยกล่าวว่าการบรรเลงกระบวนเพลงในวงบัวลอยถือว่ามีความยาก เพราะผู้บรรเลงต้องใช้ความรู้สึกและถ่ายทอดออกมาให้ตรงตามเนื้อหาที่เล่าในทั้งหมด 8 กระบวนเพลง
ด้านผู้บรรเลงปี่ ปี่ชวา ในวงบัวลอยกล่าวว่าเป็นงานที่ภาคภูมิใจและเป็นเกียรติ เนื่องจากการประโคมวงบัวลอยนั้นต้องผ่านการถ่ายทอดจากครูผู้เชี่ยวชาญและเป็นบทเพลงที่ใช้จำเพาะงานอวมงคลเท่านั้น น้อยคนที่จะได้เรียนรู้