
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือสัจธรรมของโลก เช่นเดียวกับ นิตยสารเมืองไทย นอกจากจะต้องรับมือกับมรสุมเศรษฐกิจแล้ว ยังต้องเผชิญกับพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้บริโภค และการเติบโตของโซเชียลเน็ตเวิร์ก รวมไปถึงสื่อดิจิตอลที่เข้ามาแทนที่เรื่อยๆ แม้หลายเล่มจะรัดเข็มขัดแน่นหนา แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนจนต้องประกาศ ปิดตัว ในที่สุด
สื่อนิตยสารค่อนข้างรับภาระค่าต้นทุนอย่างหนัก บางครั้งต้นทุนต่อเล่มแพงกว่าราคาขายด้วยซ้ำ ฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้สื่อนิตยสารอยู่ได้คือ ค่าโฆษณา ส่วนวิธีแก้ปัญหาต้องดูว่าสามารถลดต้นทุนได้อย่างไรบ้าง และจะเพิ่มคุณค่าหรือว่าจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนั้นได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ได้ เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคจะเลือกซื้อนิตยสารจากหน้าปกเป็นสำคัญ ไม่ได้ซื้อเพราะเนื้อหาในเล่ม นิตยสารจะต้องหาทางทำอย่างไรให้คนซื้อเกิดความซื่อสัตย์กับนิตยสารของตัวเองมากกว่าที่จะซื้อเฉพาะหน้าปกเพราะเห็นว่าเนื้อหาข้างในก็เหมือนๆกันในปี 2559 ดูเหมือนธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์จะยังไม่ดีขึ้น แม้ย่างก้าวเข้าเพียงเดือนแรกของปี 2559 ค่ายโมโน กรุ๊ป ก็ตัดสินใจประกาศปิดนิตยสารแนววัยรุ่น Candy ลงในปลายเดือนมกราคม ตามมาด้วยนิตยสารแฟชั่น Volume โดยวางแผนในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นฉบับสุดท้าย หลังดำเนินธุรกิจมากว่า 12 ปี และที่สะเทือนวงการอย่างมากก็คือ นิตยสารแฟชั่นที่วางแผงมากว่า 27 ปี อย่าง "Image" ล่าสุดก็สร้างความฮือฮา เพราะประกาศยุติดำเนินการ โดยจะวางขายฉบับเดือนพฤษภาคมเป็นเล่มสุดท้าย ส่วนนิตยสารอีก 5 เล่มในเครือเดียวกัน อย่าง IN Magazine, Madame Figaro, Her World, MAXIM, Attitude ยังคงดำเนินการต่อไป แค่มีการขายกิจการเปลี่ยนมือบริหาร
เช่นเดียวกับ นิตยสาร Cosmopolitan สัญชาติอเมริกัน ฉบับภาษาไทยที่อยู่คู่แผงหนังสือเมืองไทยมาเกือบ 20 ปี "ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา" ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทในเครือนิตยสารดิฉันตัดสินใจใช้เวลาในการประชุมแจ้งพนักงานเพียงแค่ 5 นาที โดยประกาศหยุดผลิตนิตยสารดังกล่าวเป็นเล่มสุดท้ายในเดือนพฤษภาคมน ทำให้ต้องกระเด็นหายไปจากแผงก่อนที่สัญญากับบริษัทแม่ในอเมริกาจะหมดลงในช่วงปลายปี ด้านยักษ์ใหญ่วงการนิตยสารอย่าง "GM" ที่ก่อตั้งมากว่า 30 ปี ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้ต้องออกมาประกาศปรับรูปแบบใหม่ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากนักอ่าน พร้อมเสนอกลยุทธ์เอาดีด้านฟรีแม็กกาซีน และรุกสื่อออนไลน์
จะเห็นได้ว่าทิศทางสื่อในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ ทีวี และออนไลน์ จะสามารถอยู่รอดได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงเวลานั้นๆ โดยทุกสื่อจะต้องรู้จักปรับเปลี่ยนเนื้อหาไปตามความนิยมและพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสื่อสิ่งพิมพ์ ทีวี หรือแม้แต่สื่อออนไลน์นั้น ก็จะต้องปรัยบตัวกับทิศทางยุคดิจิทัลในอนาคตที่กำลังจะเปลี่ยนไป เพื่อความอยู่รอดและสามารถเดินหน้าต่อไปได้ จากการสำรวจพบว่าแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการนิตยสาร มีอยู่ 4 ลักษณะด้วยกัน คือ 1. ปิดตัวเองไปเลย โดยนิตยสารที่มีกำหนดปิดตัว หลังเดือนกุมภาพันธ์ 2559 มีอยู่ 2-3 ฉบับ เช่น เปรียว, เพนท์เฮ้าส์ภาษาไทย, Volume เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีนิตยสารหัวนอกบางฉบับ ซึ่งอาจจะไม่มีการต่อสัญญาเมื่อครบอายุสัญญากับทางต่างประเทศ โดยทางผู้ประกอบการตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นหัวหนังสือใหม่ ภายใต้ทีมงานเดิม ดังกรณีของนิตยสารเนื้อหาเกี่ยวกับแม่และเด็กของค่ายนิตยสารรายใหญ่แห่งหนึ่ง ที่มีนโยบายเช่นนั้น2. ปิดตัวเฉพาะฉบับส่วนที่พิมพ์ด้วยกระดาษ แล้วแปลงไปเป็น อี-แม็กกาซีน หรือนำเสนอเนื้อหาทางออนไลน์ หรือปรับกลยุทธ์เป็นผู้สร้างสรรค์คอนเทนท์ในแพลทฟอร์มต่างๆ3. ลดขนาดของธุรกิจลง เช่น ลดจำนวนหน้า หรือลดความถี่ในการออกเผยแพร่ หรือนำไปแทรกอยู่กับฉบับอื่นๆ อย่างเช่น สยามดารา ลดจำนวนหน้าลง แล้วนำไปแทรกอยู่ในหนังสือพิมพ์สยามกีฬาในเซ็คชั่นบันเทิง แบบนี้พนักงานส่วนหนึ่งยังคงอยู่ เพื่อทำฉบับกระดาษ สำหรับพนักงานบางส่วนจะโยกไปทำสื่ออื่นๆ เช่น ทีวี4. เปลี่ยนจากนิตยสารทำขาย มาเป็นนิตยสารแจกฟรี ดังเช่นกรณีของนิตยสาร Hamburger เป็นต้น ยกเว้น กรณีของนิตยสาร Mother & Care ในเครือจีเอ็มกรุ๊ป ที่ใช้วิธีการทั้ง 3 และ 4 ผสมผสานกัน แต่ในแบบสวนทาง กล่าวคือ เปลี่ยนจากรายเดือนมาเป็นรายปักษ์ (มีความถี่มากขึ้น) แต่ลดจำนวนหน้าลง จาก 160 หน้า มาเป็น 40 หน้า และในเวลาเดียวกัน ยังแปลงโฉมมาเป็น Free Copy อีกด้วยณ วันนี้ คงไม่มีใครตอบได้ว่า สื่อสิ่งพิมพ์จะขาลงจริงหรือไม่ เพราะที่สุดแล้ว องค์กรสื่อทุกแพลตฟอร์มต่างก็เตรียมรับมือและปรับตัว เพื่อเอาตัวรอดให้นานที่สุด อย่างไรก็ดี ยังคงเชื่อว่าไม่มีความสวยงามและคลาสสิกบนตัวอักษรของสื่อไหนเท่ากับสื่อกระดาษอย่างแน่นอน