น.ส. รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ Nation STORY ว่า เงินบาทสัปดาห์หน้ากรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 36.20-36.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยติดตามเงินเฟ้อ PCE และจีดีพีสหรัฐฯ รวมถึงดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนเม.ย.ของไทย นอกจากนี้ ราคาทองคำในตลาดโลกยังคงสร้างความผันผวนให้กับค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาคช่วง 1 พ.ค. - 24 พ.ค. พบว่า สกุลเงินส่วนใหญ่แข็งค่า นำโดยรูเปียห์-อินโดนีเซีย 1.67% รองลงมาเป็นริงกิต-มาเล เซีย 1.20 % บาท-ไทย 0.99% ดอลลาร์-สิงคโปร์ 0.95% ดอลลาร์-ไต้หวัน 0.94% วอน-เกาหลีใต้ 0.89% รูปี-อินเดีย 0.19% ยกเว้น เปโซ-ฟิลิปปินส์ อ่อนค่า 0.67% ดอง-เวียดนามอ่อนค่า 0.55% และหยวน-จีน อ่อนค่า 0.06%
โดยเดือนพ.ค.นี้เงินบาทแข็งค่าราว 1% สอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ ซึ่งสาเหตุการแข็งค่ามาจาก
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยกับ Nation STORY ว่า การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาทนับตั้งแต่ต้นพ.ค.-20 พ.ค.ที่ผ่านมามีจังหวะแข็งค่าหลุด 36 บาทต่อดอลลาร์ นั้นเกิดจากผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและกลับมาคาดหวังว่า เฟดมีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ สหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาต่ำกว่าคาด
นอกจากนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำมีจังหวะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หนุนโดยการปรับตัวลดลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ส่วนนักลงทุนต่างชาติก็เริ่มทยอยกลับมาซื้อสินทรัพย์ไทยมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ภาพดังกล่าวได้เริ่มเปลี่ยนไป และเงินบาทได้พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องจากโซน 36 บาทต่อดอลลาร์ มายัง 36.70 บาทต่อ
ดอลลาร์ หลังบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างย้ำจุดยืน ไม่รีบลดดอกเบี้ย ส่วนรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการล่าสุด ที่สำรวจโดย S&P Global ก็ออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้ เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็ปรับตัวลงหนัก แต่ผู้เล่นในตลาดก็ยังคงต้องการซื้อทองคำอยู่ ทำให้โฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ