svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเงิน-การลงทุน

น้ำมันพุ่งหนุนหุ้นพลังงาน ! ตัวไหนน่าสน-ปันผลเกิน 5% บ้าง

สงครามรัสเซีย-เครนกลับมาปะทุอีกครั้ง หนุนราคาน้ำมันดิบดีดปรับตัวสูงขึ้น 82 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันในตลาดลดลง โดยหุ้นพลังงานยังเป็นทางเลือกหนึ่งของนักลงทุน ซึ่งตัวไหนให้เงินปันผลตอบแทนเกินกว่า 5% ตามไปดูกันเลย

เศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมาเผชิญความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หนุนราคาน้ำมันดิบในตลาดต่างประเทศดีดปรับตัวสูงขึ้น ล่าสุดสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทะลุระดับ 82 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากยูเครนส่งโดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันในตลาดลดลง

นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบได้ปัจจัยบวกจากรายงานของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ที่คาดการณ์ภาวะน้ำมันตึงตัวในปีนี้ทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานยังเป็นตัวเลือกในการลงทุนของนักลงทุน แม้ว่าจะราคาน้ำมันจะมีความผันผวนเปลี่ยนแปลงขึ้นลงเร็วจากสถานการณ์ในต่างประเทศ

Nation STORY ได้สำรวจ “หุ้นกลุ่มพลังงาน” ที่มีมาร์เก็ตเกิน 2 หมื่นล้าน ที่สามารถให้อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนเกินกว่า 5% มีด้วยกัน 9 หลักทรัพย์ ดังนี้ 

1.บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU

  • มูลค่าตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป 56,606.80  ล้านบาท 
  • P/E 10.42 เท่า
  • ราคาสูงสุด/ต่ำสุด YTD   13.70 / 5.25  บาท 
  • อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)  YTD 7.27 %   ณ ราคา 20 มี.ค. อยู่ที่ 5.65 บาท

2. บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP

  • มูลค่าตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป  27,720 ล้านบาท 
  • P/E  7.59 เท่า
  • ราคาสูงสุด/ต่ำสุด YTD  3.54  / 3.22 บาท 
  • อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)  YTD 7.27  %  ณ ราคาปิด 20 มี.ค. อยู่ที่ 3.30    บาท

3.บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW

  • มูลค่าตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป  35,910 ล้านบาท 
  • P/E 12.25  เท่า
  • ราคาสูงสุด/ต่ำสุด YTD  10.10/8.15  บาท 
  • อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)  YTD 6.67   %  ณ ราคาปิด 20 มี.ค. อยู่ที่  9  บาท

น้ำมันพุ่งหนุนหุ้นพลังงาน !  ตัวไหนน่าสน-ปันผลเกิน 5% บ้าง

4.บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP

  • มูลค่าตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป 607,407.77  ล้านบาท 
  • P/E  7.92 เท่า
  • ราคาสูงสุด/ต่ำสุด YTD 178/ 134.50  บาท 
  • อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)  YTD  6.21%  ณ ราคาปิด 20 มี.ค. อยู่ที่ 153บาท

5.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT

  • มูลค่าตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป 971,141.87  ล้านบาท 
  • P/E 8.67  เท่า
  • ราคาสูงสุด/ต่ำสุด YTD 36.50  /29.50   บาท 
  • อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)  YTD 5.88%%   ณ ราคาปิด 20 มี.ค. อยู่ที่ 34บาท

6.บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO

  • มูลค่าตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป 59,227.31  ล้านบาท 
  • P/E  -  เท่า
  • ราคาสูงสุด/ต่ำสุด YTD178.50    / 111.50 บาท 
  • อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)  YTD  5.78  %  ณ ราคาปิด 20 มี.ค. อยู่ที่  112.50   บาท

7.บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  หรือ RATCH

  • มูลค่าตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป  60,356.25 ล้านบาท 
  • P/E 11.68  เท่า
  • ราคาสูงสุด/ต่ำสุด YTD  44.75  / 27.50 บาท 
  • อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)  YTD  5.77 %  ณ ราคาปิด 20 มี.ค. อยู่ที่  27.75   บาท

8. บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP

  • มูลค่าตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป 132,913.22  ล้านบาท 
  • P/E  6.84 เท่า
  • ราคาสูงสุด/ต่ำสุด YTD  60.75/42.25 บาท 
  • อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)  YTD 5.71  %  ณ ราคาปิด 20 มี.ค. อยู่ที่ 59.50   บาท
     

    9. บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BPP

  • มูลค่าตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป 45,715.98  ล้านบาท 
  • P/E 8.59  เท่า
  • ราคาสูงสุด/ต่ำสุด YTD  17.50  / 13 บาท 
  • อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)  YTD 5.33   %  ณ ราคาปิด 20 มี.ค. อยู่ที่  15   บาท

 

น้ำมันพุ่งหนุนหุ้นพลังงาน !  ตัวไหนน่าสน-ปันผลเกิน 5% บ้าง


ด้านกูรูตลาดทุนอย่าง  “ปริญญ์ นิกรกิตติโกศล” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศ ไทย)  ให้สัมภาษณ์ Nation STORY ว่า  ราคาน้ำมันดิบในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้มีแนวโน้มอยู่ระดับสูงจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์รัสเซีย-ยูเครยังรุนแรง ประกอบกับในเดือนเม.ย.นี้จะมีการประชุมกลุ่มโอเปกจะทำให้ราคาน้ำมันยังยืนอยู่ในเกณฑ์สูง 

โดยต้นปีราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 70 กว่าเหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ถ้าดูราคาน้ำมันเฉลี่ยสู้ไตรมาส 4/66 ไม่ได้หรืออยู่ระดับทรงตัว  ดังนั้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำปกติจะเชื่อมกับค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันก็จะทรงตัว

แต่ที่จะดีคือกลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นระดับสูงทำให้กลุ่มโรงกลั่นมี stock gain เข้ามา แม้ว่าค่าการกลั่นในตลาดสิงคโปร์ YTD จะปรับเพิ่มขึ้น 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล  หรือเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/66 ประมาณ 38% ดังนั้นจะได้รับผลดีจากผลดำเนินงานหลักคือค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น และการบันทึก stock gain ทำให้กลุ่มโรงกลั่นน่าสนใจการลงทุนในช่วงสั้น ๆ  

โดยหุ้นที่ชอบคือ SPRC แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 10.80 บาท เนื่องจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้นทำให้ได้ประโยชน์ เนื่องจาก SPRC มีสัดส่วนการกลั่นน้ำมันเบนซินมากสุดในบรรดาโรงกลั่นของไทยจึงได้ประโยชน์เต็มที่ ขณะเดียวกันได้ประโยชน์จากโรงกลั่นรัสเซียถูกยูเครนโจมตีส่งผลต่อปริมาณน้ำมัน (ซัพพลาย) มีความตึงตัวมากขึ้น

ถัดมาเป็นหุ้น BCP บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น แนะนำ Trading ราคาเป้าหมาย 51 บาท  และหุ้น TOP  บมจ. ไทยออยล์  Trading ราคาเป้าหมาย 66 บาท 

“หุ้นพลังงานหากต้องการลงทุนให้มองไปที่กลุ่มโรงกลั่นก่อน แต่พลังงานต้นน้ำอย่าง PTTEP สามารถ Trading ได้ราคาเป้าหมาย 165 บาท   แต่ปิโตรเคมี สถานีบริการน้ำมันยังชะลอการลงทุน โดยปิโตรเคมีนั้น เทรนด์น้ำมันขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีและต้นทุนวัตถุดิบมาจากน้ำมันทำให้ต้นทุนเพิ่ม  ส่วนปั๊มน้ำมันค่าการตลาดขึ้นได้จำกัด ขณะที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังติดลบแสนล้านบาท”  

ทั้งนี้มองว่าหุ้นพลังงานยังน่าสนใจลงทุน เช่น BCP,  PTT ,PTTEP, TOP ,SPRC  เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีเฉลี่ย 5% บวกลบ เห็นได้จากผลประกอบการยังอยู่เกณฑ์ดีและราคาหุ้นยังไม่ได้แพงมาก

สำหรับราคาน้ำมันในปีนี้จะสู้ปีก่อนไม่ได้ เนื่องจากจะมีซัพพลายเข้ามาจากฝั่งของนอนโอเปก เช่น สหรัฐฯ บราซิล เวเนซูเอลา ทำให้ราคาน้ำมันไม่ได้ไปไกลมากนักยกเว้นมีความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์รัสเซียยูเครนและอิสราเอลหากมีความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด 

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบปีที่แล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 95 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากที่เคยแตะระดับสูง 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล  ในปี 65 จากภาวะสงคราม  ส่วนเศรษฐกิจโลกจะเติบโตจากปีก่อน แต่ไม่มากนัก คาดว่าจีนเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่ที่ต้องจับตาคือยุโรปเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลง  ดังนั้นความต้องการใช้น้ำมันเติบโตแต่โตในอัตราที่ชะลอตัวลง คาดว่าราคาน้ำมันปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ฝั่ง "นลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์"  ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส มองว่า ราคาน้ำมันในช่วงต้นปีอยู่ที่ระดับ 75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล บวกลบ แต่ปัจจุบันราคาขยับขึ้นมาอยู่ระดับ 80-83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ซึ่งราคาน้ำมันในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ โดยความต้องการใช้น้ำมันคงต้องรอเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เพราะปัจจุบันดีมานก็ยังไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ขณะที่กลุ่มโอเปกคงไม่มีการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม ซึ่งราคาน้ำมันขึ้นลงตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นรายวัน เช่น สถานการณ์ทางการเมือง เหตุการณ์รุนแรงในตะวันออก กลาง เป็นต้น

สำหรับภาวะเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าจะเริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยในช่วงนี้ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดและอยู่ระหว่างประคองตัวก่อน

ส่วนหุ้นพลังงานถ้าราคาปรับฐานแนะนำให้ทยอยสะสม เช่น PTTEP  ยังคงแข็งแกร่ง เดินหน้าในหลายแผนการลงทุนเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคคต ทั้งการรักษาโครงการที่มีอยู่ให้มีมูลค่าสูงสุด การเดินหน้าโครงการลดคาร์บอนฯ รวมถึงกระจายการลงทุนในธุรกิจใหม่ HYDROGEN, CCS และ OFFSHORE WQIND FARM เป็นต้น

สำหรับOUTLOOK กำไรปี 2567 แม้จะอ่อนตัวลง YOY แต่ถือว่ายังสามารถรักษาฐานกำไรระดับสูงไว้ได้ โดยคาดกำไรปกติ 1Q67 อาจจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย QOQ ตามราคาและปริมาณขาย แต่คาดจะยังอยู่ในระดับใกล้เคียง 2.0 หมื่นล้านบาท ได้

ส่วนกำไรสุทธิ 4Q66 รายงานที่ 1.83 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0%QOQ ใกล้เคียงคาดถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายพิเศษหลายรายการ แต่กำไรปกติดีขึ้น 6.6%QOQ ช่วยไว้ประกาศจ่ายปันผล 2H66 สูงโดดเด่น หุ้นละ 5.25 บาท (ทั้งปี 66 อยู่ที่ 9.5 บาท) คิดเป็น DIVIDEND YIELD งวดครึ่งปีที่ 3.6% คงมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 180 บาทต่อหุ้น ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบตั้งแต่ปี 2567 ที่ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล ยังคงแนะนำในลักษณะ TRADING ตามราคาน้ำมัน พร้อมรับปันผลสูง

ส่วนหุ้นโรงกลั่นจะต้องเล่นตามฤดูกาล เพราะค่าการกลั่นจะพีคในช่วงปลายไตรมาส 4 และต้นไปไตรมาส 1 และค่อย ๆ อ่อนตัวลงในไตรมาส 2 และโลว์ซีซั่นในไตรมาส 3 ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีคาดว่าฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด และรอกลับมาปกติในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งธุรกิจปิโตรเคมีจะดีขึ้นเมื่อเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว โดยแนะนำทยอยสะสม PTTGC หากราคาย่อตัวลงมาที่ 35 บาท

ขณะที่กำไรสุทธิงวด 4Q66 อยู่ที่ 5.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 256.2%QOQ ดีกว่าคาดจากรายได้พิเศษช่วยไว้หลายรายการ แต่หากพิจารณาผลการดำเนินงานปกติพบว่าถึงขั้นขาดทุน 2.1 พันล้านบาท ย่ำแย่กว่าคาด ถูกกดดันหลักจากธุรกิจโรงกลั่นตาม MARKET GRM ที่ลดลง

สำหรับธุรกิจโอเลฟินส์ และโพลีเมอร์ที่มีแผนหยุดซ่อมบำรุงหลายโรงงาน ประกอบกับมาร์จิ้นที่ลดลงจากราคาเม็ดพาสติกโพลีเอทิลิน หรือ PE ที่ลดลง และต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่ม ทำให้ในงวดนี้เผชิญกับผลขาดทุนเพิ่มขึ้น

ส่วนในงวด 1Q67คาดผลการดำเนินงานปกติน่าจะเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นมาอยู่ในระดับจุดคุ้มทุน หรือขาดทุนลดลง QOQ ถึงแม้จะยังไม่มีปัจจัยบวกโดดเด่นมาก ต้องรอ 2H67มูลค่าพื้นฐานปี 67 ที่ 36 บาทต่อหุ้น ภายใต้รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯใหม่ของไทยแล้ว

ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาคาดจะตอบรับผลลบเรื่องโครงสร้างราคาก๊าซฯ และผลการดำเนินงานที่ยังไม่สดใสไปแล้วระดับหนึ่ง อีกทั้งประกาศจ่ายปันผลทั้งปี66 ที่ 0.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่ 2.1% ทำให้มีการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น NEUTRAL จาก UNDERPERFORM