svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเงิน-การลงทุน

บี.กริม เพาเวอร์ขยายพอร์ต "พลังงานหมุนเวียน"

29 กุมภาพันธ์ 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

บี.กริม เพาเวอร์ เผยงบปี  2566 เติบโตแข็งแกร่ง เดินหน้าขับเคลื่อนความเป็นผู้นำด้านพลังงาน รุกเพิ่มกำลังการผลิต ขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนสู่กำลังการผลิต  10,000 เมกะวัตต์ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในปี 2573

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด  (มหาชน) หรือ BGRIM  ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Com pany) ที่ประกอบธุรกิจหลักด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเท

ล่าสุด ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน  บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  BGRIM  ได้ประกาศแผนงานปี 67 โดยมุ่งขยายการลงทุนในโครงการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

พร้อมขับเคลื่อนพลังงานสะอาดในการประกาศรับซื้อไฟฟ้าของรัฐบาลรอบถัดไป ตามระเบียบว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) พร้อมเดินหน้าเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการโรงไฟฟ้าตามแผนทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี

นอกจากนี้ตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) รายใหม่ เชื่อมเข้าระบบรวม 50-60 เมกะวัตต์ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า เสริมความแข็งแกร่งและตอกย้ำความเป็นผู้นำภาคอุตสาห กรรม 

โดยในระยะยาว บี.กริม เพาเวอร์ ตั้งเป้าสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก ขยายพอร์ตสู่กำลังการผลิต  10,000 เมกะวัตต์ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในปี 2573 และบรรลุเป้าหมายการก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593  
 

 

 

 

บี.กริม เพาเวอร์ขยายพอร์ต \"พลังงานหมุนเวียน\"

สำหรับผลประกอบการปี 2566 มีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) อยู่ที่ 2,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 375 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน

ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตค่าก๊าซ การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งนี้มีสาเหตุหลักมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ กำลังการผลิตจากโครงการที่เปิดดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น 667 เมกะวัตต์  การฟื้นตัวของอัตรากำไรต่อหน่วยระหว่างราคาไฟฟ้าตามค่า Ft และต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติ ปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 1.2% และปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติต่อหน่วยที่ลดลง 2.5% จากการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2566 บี.กริม เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จในการขยายกำลังการผลิตสู่ 4 กิกะวัตต์ จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าหลายโครงการตามแผน ร่วมกับการลงทุนในตลาดที่สำคัญ ทั้งสาธารณรัฐเกาหลีและประเทศมาเลเซีย ตอกย้ำบทบาทในการร่วมพัฒนาภาคพลังงานให้กับภูมิภาค 

นอกจากนี้การเดินหน้ากลยุทธ์ "Greenleap: Global and Green“ เพื่อก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการพลังงานหมุนเวียนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกหลายโครงการ รวมไปถึงการได้มา

ซึ่งสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาเพิ่มเติมอีก 698 เมกะวัตต์ และมีโครงการพลังงานลมที่อยู่ระหว่างพัฒนาที่สาธารณรัฐเกาหลีกว่า 1 กิกะวัตต์  โครง การพลังงานแสงอาทิตย์ที่สาธารณรัฐอิตาลี 250-300 เมกะวัตต์  โครงการพลังงานหมุนเวียน Feed-in Tariff (FiT) ในประเทศไทย 339.3 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ ยังมีโครงการพลังงานหมุนเวียนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในอีกหลายประเทศ เช่น สาธารณรัฐฟิลิปปินส์, ราชอาณาจักรกัมพูชา, กรีซ, ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การดำเนินงานในระยะยาว ที่มุ่งสร้างการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้นำในพลังงานหมุนเวียนระดับโลก


ขณะเดียวกันบี.กริม เพาเวอร์ ยังมุ่งส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศ โดยในปี  2566 สามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) รายใหม่ โดยมีการเชื่อมเข้าระบบรวม 52.1 เมกะวัตต์ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งมาจากการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการ รวมไปถึงการจัดหาใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) ให้กับลูกค้า และมุ่งต่อยอดไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับภูมิภาค เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

ด้านความยั่งยืน ในปี 2566 บี.กริม เพาเวอร์ ที่ได้รับการการันตีผ่าน 3 รางวัล ได้แก่ ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในเรตติ้งสูงสุด “AAA” จาก SET ESG Ratings (ชื่อเดิมคือ Thailand Sustainability Investment หรือ THSI), ติดอันดับ The Sustainability Yearbook โดย S&P Global ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ด้วยคะแนนสูงสุด 10% แรกของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้าทั่วโลกใน Yearbook ปี 2567

นอกจากนี้ยังได้รับคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิก FTSE4Good Index อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี มีความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม  พร้อมให้ความสำคัญด้านการบริหารจริยธรรม โดยได้รับการรับรองในฐานะสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) อย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใสและการบริหารจริยธรรมที่ดี


นอกจากนี้ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.36 บาท สำหรับปี 2566 ประกอบด้วยเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท และเงินปันผลจ่ายงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท คงอัตราการจ่ายปันผลที่ 45% ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD)  13 มีนาคม 2567 และวันที่จ่ายปันผล คือ 10 พฤษภาคม  2567 โดยจะนำเสนอขออนุมัติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ต่อไป 

 

logoline