เงินบาทอ่อน ! ขึ้นแท่นอันดับ 1 ในภูมิภาค เกิดจากสาเหตุอะไร

น.ส. รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ Nation STORY ว่า เงินบาทสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวในกรอบ 35.70-36.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือจีดีพีไตรมาส 4/66 ของไทย ตลาดคาดเติบโต 2.5% เทียบปีต่อปี

นอกจากนี้ นักลงทุนยังให้ความสนใจกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐหรือ บอนด์ยีลด์หลังปรับตัวผันผวนสูง ส่วนยอดค้าปลีกที่ต่ำกว่าคาด ไม่ได้กระทบต่อการคาดการณ์จังหวะเวลาลดดอกเบี้ยครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดมากนัก แต่ช่วยให้ดอลลาร์ปรับฐานลงมาได้บ้าง

สำหรับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาคตั้งแต่ 1 ก.พ.-16 ก.พ. พบว่า บาท-ไทย อ่อนค่ามากสุด  1.73% รองลงมาเป็นริงกิต-มาเลเซีย 0.93% ดอลลาร์-สิงคโปร์ 0.42 % หยวน-จีน  0.34% ดอง-เวียดนาม 0.33%  ดอลลาร์-ไต้หวัน 0.19% วอน-เกาหลีใต้ 0.07% ยกเว้นรูเปียห์-อินโดนีเซียแข็งค่า 0.85%  เปโซ-ฟิลิปปินส์ 0.56% รูปี-อินเดีย 0.01% 

 

สาเหตุที่เงินบาทอ่อนค่าสุดในภูมิภาคเกิดจาก

• การปรับมุมมองของตลาดว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ไม่รีบลดอัตราดอกเบี้ย หลังข้อมูลส่วนใหญ่ยังบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯรับมือกับภาวะดอกเบี้ยสูงได้ดีเกินคาด
• แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่มีความไม่แน่นอนสูง
• เงินทุนไหลออก ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 1 พันล้านบาท ขายพันธบัตร 2.3 หมื่นล้านบาท
  
  ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตล่าช้าออกไปแต่ไม่เกินความคาดหมาย โดยตลาดต้องการเห็นมาตรการกระตุ้นที่คุ้มค่าและโปร่งใส
  
  

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยกับ Nation STORY ว่า   ปัจจัยกดดันการอ่อนค่าของเงินบาท หลัก ๆ มาจาก

- การปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมามองว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ย ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลังที่ทยอยออกมาดีกว่าคาด ทำให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งกดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลดลง และส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่า ตามปริมาณธุรกรรมทองคำ

- ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย ก็ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจทยอยลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ ราว 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย ซึ่งความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจไทย กอปรกับการอ่อนค่าลงของเงินบาท ยังได้กดดันให้ บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยเทขายสินทรัพย์ไทยในช่วงที่ผ่านมาอีกด้วย

ทั้งนี้ประเมินว่า ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่  แต่โมเมนตัมการอ่อนค่าอาจเริ่มชะลอลง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็เริ่มออกมาผสมผสานบ้าง ทำให้ธีม US Exceptionalism ที่หนุนการแข็งค่าเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมา อาจแผ่วลงไปบ้าง

อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด รวมถึงรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินบาทได้พอสมควร

ทั้งนี้มองว่าหากเงินบาทสามารถผันผวนอ่อนค่าลงต่อได้ ก็อาจเผชิญแนวต้านแรกแถว 36.20-36.30 บาทต่อดอล ลาร์ และมีแนวต้านสำคัญแถว 36.50 บาทต่อดอลลาร์  ส่วนการอ่อนค่าทะลุโซน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ จะทำให้เงินบาทอยู่ในระดับที่ Undervalued ไปพอสมควร ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอย SELL on RALLY USDTHB หรือทยอยสะสมสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าได้)

ขณะที่แนวรับเงินบาทในกรณีที่ เริ่มกลับมาแข็งค่า จนหลุดโซน 36 บาทต่อดอลลาร์ จะเป็นโซน 35.80 บาทต่อดอล ลาร์ และมีโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับสำคัญ

ด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Digital Wallet อาจเผชิญข้อจำกัดด้านกฎหมาย ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวได้  แต่หากมีการใช้มาตรการดังกล่าวขึ้นจริง ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้พอสมควร หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ได้ราว +0.6% จากเดิมสมมติฐานไม่มีดิจิทัลวอลเล็ต เศรษฐกิจโต +3% ถ้ามีเกิดขึ้นจีดีพีอาจจะโตได้ถึง 3.6% เป็นอย่างน้อย

อย่างไรก็ตาม ในเชิงเทคนิคัลมองว่า เงินบาทเริ่มส่งสัญ ญาณอาจทยอยแข็งค่าขึ้น (สอดคล้องกับมุมมองเชิงปัจจัยพื้นฐานที่ชี้ว่า ปัจจัยกดดันอ่อนค่าอาจแผ่วลงบ้าง) ไม่ว่าจะเป็น Shooting star pattern, Berish Divergence จาก RSI และ MACD forest

อย่างไรก็ตาม หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าหลุดระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ได้จะทำให้เงินบาทมีโอกาสผันผวนแข็งค่าขึ้นได้บ้างในระยะสั้น โดยมองแนวรับแรกแถว 35.80 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวรับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับสำคัญที่ต้องจับตาถัดไป