เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีการประชุมสำคัญเกิดขึ้น โดยกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของประเทศกำลังพัฒนา ปัจจุบันประกอบไปด้วย 5 ประเทศ ได้แก่ บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และ แอฟริกาใต้ (South Africa) ซึ่งมีความพยายามที่จะสร้างสมาคมหรือพันธมิตรทางการเมือง และพยายามเปลี่ยนขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตให้เป็นอำนาจการเมืองทางภูมิภาค
ซึ่งการรวมตัวนี้อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกที่น่าจับตามองในอนาคต เนื่องจากประเทศเหล่านี้ล้วนมีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ไม่ว่าจะเป็น จำนวนประชากรขนาดใหญ่ เทคโนโลยี พลังงาน การบริการ เหมืองแร่ เป็นต้น ซึ่งการประชุมของ BRICS เมื่อวันที่ 22-24 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น สรุปประเด็นสำคัญได้ 3 ประเด็นดังนี้
1. การรับสมาชิกใหม่เพิ่ม โดยเฉพาะประเทศที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น อียิปต์ เอธิโปเปีย อาร์เจนตินา ซาอุดีอา ระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และอิหร่าน เป็นต้น อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ม.ค. 2024 ส่งผลให้จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นจากเดิม
2. แนวทางการลดการพึ่งพาชาติตะวันตก เพื่อสร้างสมดุลอำนาจและกระจายความเสี่ยงหรือเพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงโอกาสด้านการค้า การลงทุน และการเงิน หากเกิดความขัดแย้งหรือกรณีโดนคว่ำบาตรจากฝั่งตะวันตก เช่น กรณี จีน-สหรัฐ หรือ รัสเซีย-ยูเครน เป็นต้น
3. ลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ผลักดันการใช้สกุลเงินท้องถิ่น เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการชำระเงินซื้อสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนขึ้นตั้งแต่รัสเซียถูกคว่ำบาตรจึงหันมาใช้เงินหยวนทำการค้ากับจีนแทน ทำให้เงินหยวนขยับขึ้นมามีสัดส่วนที่สูงขึ้นจากเดิมมากในเวทีการค้าโลก
จากแนวโน้มความร่วมมือดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุนอย่างไรบ้าง
อาจเกิดข้อสงสัยว่าบทบาทของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร ในระยะสั้นคาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าใดนัก
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ต้องจับตาคือปัจจุบัน ประเทศเกิดใหม่หลายประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ BRICS Bank มากขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อการเข้าร่วมกองทุนสำรองฉุกเฉิน (Contingency Reserve Arrangement) ที่มีบทบาทใกล้เคียงกับ World Bank หรือ IMF (ในกรณีที่ประเทศเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องและต้องการกู้เงินฉุกเฉิน)
ทั้งนี้คาดว่า BRICS Bank น่าจะมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นและเอื้อประโยชน์ต่อประเทศสมาชิกมากกว่าไปกู้โดยตรงกับ IMF และอาจจะเปิดให้สมาชิกกู้ยืมในสกุลเงินท้องถิ่น อย่างไรก็ตามประเทศไทยเองก็ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ตั้งแต่ต้นปี 2023 และอยู่ในระหว่างรอการพิจารณา
ซึ่งประเมินว่าการเข้าร่วม BRICS ครั้งนี้ของไทยจะช่วยเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญ นอกจากนี้ทางการไทยอาจจะยังจำเป็นที่จะต้องรักษาท่าทีในการรับข้อตกลงใหม่ ๆ ที่อาจจะก่อให้เกิดความอ่อนไหวต่อคู่ค้าในฝั่งชาติตะวันตกในอนาคตได้
สรุปได้ว่ากลุ่ม BRICS ยังคงน่าจับตามองเนื่องจากแนวโน้มบทบาทต่อโลกในอนาคตที่อาจเทียบเท่ากลุ่ม G7 ในระยะยาว BRICS คงต้องเจอกับบททดสอบและอุปสรรคอีกมากมาย ซึ่งทางโลกฝั่งตะวันตกคงไม่ยอมให้ BRICS ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแทนได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องจับตาดูพัฒนาการด้านต่างๆ ของ BRICS เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ที่มาบทความ : โดย นที ดำรงกิจการ
Executive Director, Head of Financial Advisory, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย