
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ โดยเฉพาะหาดใหญ่ และสงขลา ซึ่งมีสัดส่วนต่อจีดีพีประมาณ 2.6% แม้ความเสียหายที่หาดใหญ่จะรุนแรง แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมแล้ว ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคมีเพียงประมาณ 0.1-0.2% ของจีดีพีเท่านั้น
ที่ผ่านมา ธปท.ให้ธนาคารพาณิชย์ออกมาตรการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเร่งด่วนแล้ว ทั้งมาตรการลดต้น ลดดอก การพักหนี้ต่างๆ เป็นการชั่วคราว ล่าสุด ธปท.หารือสถาบันการเงิน และสมาคมธนาคารไทยเพื่อเร่งรัดออกมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินเพิ่ม จะทยอยประกาศเร็วๆ นี้ อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการอย่างละเอียด ว่าการช่วยเหลือต้องเป็นระดับใด วงเงินเท่าใด ครอบคลุมลูกค้าใดบ้าง
สำหรับประเด็นซอฟต์โลน (Soft Loan) ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องออกผ่านพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันมีข้อจำกัดการเมือง ทำให้การออกพ.ร.ก.เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ต่างกับ ธนาคารของรัฐที่ยังมีกำลังเพียงพอในการออกซอฟต์โลนได้ คือธนาคารออมสินเพียงแห่งเดียว
“เราเร่งรัดให้มาตรการออกโดยเร็วที่สุด ซึ่งขณะนี้ธนาคารพาณิชย์อยู่ระหว่างกำหนดมาตรการที่เหมาะกับโครงสร้างลูกค้าของตนเองได้ เพราะการช่วยเหลือแต่ละรายก็จะไม่เหมือนกัน”
ทั้งนี้ยอมรับว่าผลกระทบจากน้ำท่วมใต้ครั้งนี้ ถือว่าเป็นวิกฤติเช่นเดียวกันที่ประเทศไทยเจอวิกฤติในอดีตอย่างโควิด-19 แต่ครั้งนี้เป็นวิกฤติที่เกิดเฉพาะจุด
สำหรับภาพเศรษฐกิจไทย มองว่า บริบททางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปชัดเจนในปัจจุบัน วันนี้เศรษฐกิจมีการเติบโตที่ต่ำลงมากต่างจากสมัยก่อนโควิด-19 ที่เศรษฐกิจเคยเติบโตในระดับ 4% แต่ปีนี้คาดว่าจะเติบโตเพียง 2.1% และปีหน้าคาดการณ์ว่าจะโตเพียง 1.6% เท่านั้น
“สถานการณ์นี้ไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่การเติบโต 3-4% หรือ 5% เป็นไปได้ง่าย ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ปัจจุบัน ธปท. กำลังกังวลว่าประเทศกำลังเข้าสู่ New Normal ใหม่ของการเติบโตที่ระดับประมาณ 2% ซึ่งมีโอกาสสูง”
นอกจากปัญหาเติบโตที่ต่ำลงแล้ว ปัญหาที่ซ้ำเติมลงไป คือ การเติบโตที่ไม่กระจายตัวและไม่ทั่วถึงในภาคธุรกิจขนาดกลางและเล็ก โดยเฉพาะเอสเอ็มอี มีปัญหาอย่างชัดเจน ส่งผลให้สินเชื่อเอสเอ็มอีติดลบต่อเนื่อง 13 ไตรมาส หรือ 3 ปีติดต่อกัน หากไม่เข้ามาแก้ไขปัญหาจริงจังจะเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน
ด้านภาคครัวเรือน การเติบโตของรายได้บุคคลทั่วไปเติบโตลดลงต่อเนื่อง ล่าสุดมาอยู่ที่ 2% จาก 4-5%ดังนั้น การที่ประเทศอยู่ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างมากมาย ฯลฯ ทั้งจากปัญหาความสามารถแข่งขันระยะยาว ปัญหาผลิตภาพ การมีโครงสร้างประชากรสูงวัย หนี้ครัวเรือนสูง ฯลฯ
ส่วนการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ในภาพรวม มองว่า เครื่องมือดอกเบี้ยไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาเฉพาะเจาะจงได้ หรือแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ทั้งหมด เช่น หากดูการลดดอกเบี้ยที่ผ่านมา 4 ครั้ง ติดต่อกันครั้งละ 0.25% มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้และปีหน้าเพียง ต่ำกว่า 0.2%เท่านั้น เนื่องจากปัญหาในปัจจุบันไม่ใช่ปัญหาเรื่องอุปสงค์หรือการบริโภค แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง หาก ธปท. ยังคงใช้เครื่องมือหลักคือดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียว จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจน้อยมาก
เช่นเดียวกันการใช้ดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่จะมีผลน้อยมาก ซึ่งหากดูการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ ธปท.คาดว่าปีนี้คาดติดลบ 0.1% และยกตัวอย่างว่า หากลดดอกเบี้ย 0.5% ทันทีจะช่วยประคองอัตราเงินเฟ้อปีหน้าได้เพียงประมาณ 0.1% ซึ่งถือว่าน้อยมาก เหล่านี้สะท้อนว่า ดอกเบี้ยนโยบายยังมีความจำเป็นอยู่ ในด้านช่วยสภาพคล่อง ช่วยเรื่องหนี้ แต่ช่วยเรื่องอื่นๆได้จำกัด
อย่างไรก็ตาม มองว่ายังมีพื้นที่ในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ หากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงไป และขึ้นอยู่กับข้อมูลต่างๆในระยะข้างหน้า โดย ธปท.เตรียมนำข้อมูลเศรษฐกิจทั้งหมด รวมถึงสถานการณ์น้ำท่วมเข้ามาพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ด้วยในวันที่ 17 ธ.ค.นี้
สำหรับการทำงานร่วมกันระหว่าง ธปท.และกระทรวงการคลัง ถือว่าดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาความขัดแย้งกัน ทั้งสองฝ่ายเดินไปในทิศทางเดียวกันและมีเป้าหมายร่วมกัน แต่แบงก์ชาติต้องมีอิสระในการตัดสินใจเรื่องนโยบายทางการเงิน ซึ่งรัฐมนตรีคลังและนายกรัฐมนตรีให้ความอิสระตามกฎหมาย
นอกจากนี้ แบงก์ชาติยังต้องคำนึงถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้ไม่ได้เป็นอิสระแบบหลุดลอย แต่เป็นอิสระที่ต้องมีการพูดคุยเรื่องเป้าหมายและดำเนินการไปด้วยกัน ในขณะเดียวกัน การตัดสินใจเรื่องนโยบายหรือการแสดงความเห็นในประเด็นสำคัญ ๆ แบงก์ชาติก็มีอิสระเต็มที่