
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง เข้าใกล้โซน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.62-31.79 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รีบาวด์สูงขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับกดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ย่อตัวลงจากจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แม้ว่า ยอดการจ้างงานสหรัฐฯ ในช่วง 12 เดือน จนถึงเดือนมีนาคม 2025 จะถูกปรับลดถึง 9.11 แสนตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้ ในการปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานใหม่โดยทาง BLS (สะท้อนว่า ยอดการจ้างงานโดยเฉลี่ยอาจลดลงจากที่เคยประกาศราว 7.6 หมื่นตำแหน่ง ต่อเดือน) แต่ผู้เล่นในตลาดต่างก็ไม่ได้ปรับเพิ่มคาดคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ในทางกลับกัน ผู้เล่นในตลาดได้ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง
โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 66% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และเฟดก็อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 3 ครั้ง ในปีหน้า หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ ซึ่งรายงานข้อมูลดังกล่าวก็อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Alphabet +2.4%, Nvidia +1.5% หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า แนวโน้มการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงชัดเจน โดยเฉพาะหลังการปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานรอบ 12 เดือน ถึงเดือนมีนาคม 2025 จะทำให้เฟดยังสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ตามที่ตลาดประเมินไว้ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.27%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.06% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ TotalEnergies +1.6% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ หลังอิสราเอลได้โจมตีทางอากาศในกรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ เพื่อสังหารผู้นำระดับสูงของกลุ่ม Hamas นอกจากนี้ ดีลการควบรวมของหลายบริษัทยุโรปก็มีส่วนช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรป อาทิ การควบรวมระหว่างหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ Anglo American +9.1% กับ Teck Resources ของแคนาดา
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.08% สอดคล้องกับ มุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร ทำให้ในช่วงระยะสั้น มีความเสี่ยงที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจจะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง ซึ่งภาพดังกล่าวอาจยังดำเนินต่อไปได้ หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักก็ยังคงอยู่ เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (ไม่ควรไล่ราคาซื้อ เนื่องจากในช่วงนี้ Risk-Reward อาจไม่คุ้มค่า) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ก่อนที่จะรับรู้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 97.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.2-97.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการรีบาวด์สูงขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดของผู้เล่นในตลาด กอปรกับแรงขายทำกำไรทองคำ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ย่อตัวลงบ้าง ส่งผลให้ ราคาทองคำล่าสุดแกว่งตัวแถวโซน 3,660-3,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนสิงหาคม
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ รวมถึงพัฒนาการของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หลังอิสราเอลได้โจมตีทางอากาศ ต่อเป้าหมายในกรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ เพื่อสังหารผู้นำระดับสูงของกลุ่ม Hamas ซึ่งทั้งสองปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้เงินบาท (USDTHB) จะทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนการรีบาวด์ขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พร้อมกับกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลง ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจจำกัดแถวโซนแนวต้าน 31.85 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อนได้ หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย และอัตราเงินเฟ้อ CPI ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ของคืนวันพฤหัสบดี นี้ ซึ่งทั้งสองข้อมูลดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้พอสมควร ผ่านการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง หากผู้เล่นในตลาดบางส่วนอย่างฝั่งนักลงทุนต่างชาติ พลิกกลับมาทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทย หลังในช่วงระยะสั้น เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาพอสมควร เพิ่มผลตอบแทนให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ ควรต้องจับตาการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีน (CNY) หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เนื่องจากในระยะหลัง เงินบาทกับเงินหยวนจีน ได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกันพอสมควร
ส่วนในช่วง 19.30 น. ที่ตลาดจะทยอยรับรู้ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นกับตลาดการเงิน เนื่องจากหากดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและสูงกว่าคาด อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติมได้ หนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเพิ่มเติม กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท ทำให้ เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก (แนวต้านถัดไป 32.00 บาทต่อดอลลาร์)
ในทางกลับกัน หากดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงและออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังมั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดราว 3 ครั้ง ได้ ส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เสี่ยงย่อตัวลงบ้าง ส่วนราคาทองคำก็มีโอกาสรีบาวด์สูงขึ้น ทำให้เงินบาทยังมีโอกาสทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้น เข้าใกล้โซน 31.50-31.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.65-32.00 บาท/ดอลลาร์