svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

TDRI ชี้ไทยเจอภาษีทรัมป์ ขีดความสามารถลด เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาด

ทีดีอาร์ไอ ประเมินผลกระทบจากภาษีทรัมป์ ชี้ไทยเจอภาษีสูงขีดความสามารถลด แข่งขันลำบาก เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาด เศรษฐกิจไทยสุ่มเสี่ยงเติบโตต่ำในโลกสงครามการค้า

ศุภณัฏฐ์ ศศิวุฒิวัฒน์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ระบุ นับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เปิดฉากการจัดระเบียบการค้าโลกครั้งใหม่ ด้วยการประกาศเก็บภาษีนำเข้ากับประเทศต่างๆ ทั่วโลกในอัตราสูง พร้อมบีบให้คู่ค้าต้องเข้าร่วมโต๊ะเจรจา โดยต้องเสนอเงื่อนไขทั้งการเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ การรับซื้อสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ไปจนถึงการไปลงทุนโดยตรงในสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการผ่อนคลายภาษี โดยทรัมป์หวังว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยฟื้นดุลการค้าของสหรัฐฯ และรักษาสถานะความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเหนือจีน

แม้ข้อตกลงจำนวนมากในการเจรจายังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่การประกาศอัตราภาษีรอบใหม่เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2025 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการจัดระเบียบการค้าของทรัมป์ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจโลก ประเทศคู่ค้าหลักรวมถึงไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อประเมินผลกระทบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทยจากการปรับภาษีนำเข้าของทรัมป์ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ พร้อมกับนำเสนอแนวทางที่จะช่วยให้ไทยสามารถอยู่รอดท่ามกลางสงครามการค้ารอบใหม่  
 

ศุภณัฏฐ์ ศศิวุฒิวัฒน์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

Key Messages

•    ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้ภาษีตอบโต้และมาตรการภาษีอื่นๆ กับคู่ค้าทั่วโลก ทำให้อัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริงในปัจจุบันเพิ่มขึ้นราว 18.6% จากที่ในช่วงต้นปี 2025 อยู่ที่ 2.5% และจะทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตลดลง 0.71% 

•    มาตราการภาษีของทรัมป์กำลังสร้างความได้เปรียบ-เสียเปรียบใหม่ระหว่างคู่ค้าสหรัฐฯ โดยบางประเทศถูกเก็บภาษีสูงกว่าประเทศอื่นชัดเจน จากเดิมที่มีอัตราใกล้เคียงกัน (ยกเว้นจีน)

•    อัตราภาษีตอบโต้ที่ประกาศสำหรับไทยอยู่ที่ 19% แต่เมื่อปรับด้วยข้อยกเว้นต่างๆ อัตราภาษีเฉพาะรายสินค้าและถ่วงด้วยน้ำหนักมูลค่าสินค้านำเข้าแต่ละประเภทแล้ว อัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้น 15% มาอยู่ที่ 16.5% ต่ำกว่าเวียดนามและอินโดนีเซีย แต่ยังสูงกว่าคู่ค้าอื่น อาทิ เม็กซิโกและมาเลเซีย

•    ภาษีทรัมป์และสงครามการค้าจะส่งผลให้การแข่งขันเข้มข้นขึ้น ในขณะที่ขีดความสามารถในการผลิตและส่งออกของไทยถดถอยลง ทำให้ไทยเสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาดส่งออกสหรัฐฯ และทั่วโลก

•    เมื่อเศรษฐกิจโลกปรับเข้าสู่ดุลยภาพใหม่ เศรษฐกิจไทยเสี่ยงที่จะเติบโตต่ำลงราว 0.42–0.77% จากมาตรการภาษีของทรัมป์ ซึ่งเป็นผลรวมทั้งจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย และจากการที่ประเทศคู่ค้าอื่นทั่วโลกต่างเผชิญภาษีนำเข้าด้วยเช่นกัน อีกทั้งผลกระทบต่อไทยจะหนักยิ่งขึ้น หากถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 40% สำหรับสินค้าที่ถูกมองว่าเป็น ‘การสวมสิทธิ’ ที่นำเข้าจากจีน

•    เวียดนามจะได้รับผลกระทบหนักกว่าไทย โดยคาดว่า GDP จะหดตัวราว 0.95% เพราะมีการพึ่งพิงการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงถึง 30% ของ GDP ขณะที่อินโดนีเซียซึ่งส่งออกไปสหรัฐฯ ราว 2.1% ของ GDP ได้รับผลกระทบค่อนข้างต่ำราว 0.03%

•    ในทางตรงกันข้าม ข้อตกลงเปิดตลาดสำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ จะช่วยลดราคาวัตถุดิบและสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่ภาครัฐต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อผู้ผลิต โดยเฉพาะเกษตรกร

•    ไทยต้องเร่งปฏิรูปฟื้นขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมทั้งหาแต้มต่อทางการค้า อาทิ เจรจาลดภาษีสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ที่สหรัฐฯ เองไม่ผลิต ผลักดันการนับมูลค่าการผลิตที่เกิดขึ้นในอาเซียนเป็นแหล่งกำเนิดเดียว (ASEAN content) เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกจัดเป็น “สินค้าสวมสิทธิ” 

สหรัฐฯปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าใหม่ ไทยเจออัตราภาษีสูงกว่าคู่ค้าหลักหลายประเทศ 

หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทยอยออกมาตรการภาษีนำเข้าต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น “ภาษีตอบโต้” (reciprocal tariffs) กับคู่ค้าทั่วโลกโดยอ้างเพื่อลดการขาดดุลการค้าที่ไม่เป็นธรรม ภาษีภายใต้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ที่บังคับใช้กับจีน เม็กซิโก และแคนาดา โดยให้เหตุผลด้านภัยคุกคามจากการค้ายาเสพติดข้ามพรมแดน รวมถึงการขึ้นภาษีรายสินค้าโดยอ้างกฎหมายการขยายการค้า มาตรา 232 (Section 232 of Trade Expansion Act) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติ

ผลที่ตามมาคืออัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริง (effective tariff rate) โดยเฉลี่ยของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นจากเพียงร้อยละ 2.5 ในช่วงต้นปี 2025 เป็นร้อยละ 18.6 (ณ วันที่ 7 สิงหาคม 2025) (ดูภาพที่ 1) และกำลังสร้างความได้เปรียบ–เสียเปรียบใหม่ระหว่างประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ จากที่เดิมเผชิญอัตราภาษีใกล้เคียงกัน (ยกเว้นจีนซึ่งถูกขึ้นภาษีตั้งแต่สงครามการค้ารอบแรก) กลายเป็นมีบางประเทศถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงกว่าประเทศอื่นอย่างชัดเจน

TDRI ชี้ไทยเจอภาษีทรัมป์ ขีดความสามารถลด เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาด

จากภาพที่ 2 จะเห็นว่าประเทศที่ขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ เช่น สิงคโปร์และสหราชอาณาจักรถูกเก็บภาษีเพิ่มราว 10% ขณะที่ประเทศที่เกินดุล เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และหลายประเทศในสหภาพยุโรป ต้องเสียภาษีราว 15% ขณะที่กลุ่มอาเซียนรวมถึงไทยอยู่ในระดับ 19–20% ส่วนกลุ่มที่เผชิญกับภาษีหนักสุดในอัตรา 50% คือจีนที่ท้าทายความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และอีกสองประเทศที่ถูกลงโทษด้วยเหตุผลทางการเมือง ได้แก่ อินเดียที่นำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย และบราซิลที่ดำเนินคดีกับอดีตประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนาโร 

TDRI ชี้ไทยเจอภาษีทรัมป์ ขีดความสามารถลด เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาด

มาตรการภาษีของทรัมป์ยังมีข้อตกลงเฉพาะและข้อยกเว้นต่างๆ ที่มีผลในการสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่ค้าด้วย โดยเม็กซิโกและแคนาดาได้รับสิทธิยกเว้นภาษีตามข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ–เม็กซิโก–แคนาดา (USMCA) สำหรับสินค้าที่มีสัดส่วนการผลิตตามเกณฑ์ถิ่นกำเนิด โดยแม้ในปี 2024 มีการใช้สิทธิจริงเพียง 40–50% ของมูลค่าส่งออก แต่ล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2025 ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นราว 80%และมีการประเมินว่ากว่า 90% ของสินค้าส่งออกเข้าข่ายจะได้รับสิทธิยกเว้นภายใต้ USMCA

ในขณะที่ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นมีข้อตกลงพิเศษว่าอัตราภาษีใหม่หลังรวมภาษีตอบโต้แล้วจะไม่เกินร้อยละ 15 สำหรับสินค้าแต่ละรายการ และสินค้าใดที่มีการเก็บภาษีเกินร้อยละ 15 อยู่แล้ว จะไม่มีการเก็บภาษีเพิ่มเติม

นอกจากนี้ สินค้าบางรายการจะได้รับการยกเว้นภาษีตอบโต้ แต่จะถูกเรียกเก็บภาษีรายสินค้าแทนภายใต้กฎหมายการขยายการค้า มาตรา 232 เช่น รถยนต์และชิ้นส่วน (25%) กลุ่มเหล็กกล้า อะลูมิเนียมและทองแดง (50%) อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าบางรายการที่ไม่ได้ถูกเรียกเก็บเพิ่มเติม หนึ่งในนั้นคือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์บางรายการ อาทิ สมาร์ทโฟน ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ หน่วยความจำและอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล จอภาพแบบแบน แผงวงจรรวม รวมทั้งอุปกรณ์กึ่งตัวนำ

จากภาพที่ 3 จะเห็นได้ว่าไต้หวันมีสัดส่วนมูลค่าส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการยกเว้นภาษีมากถึง 63% ของมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯทั้งหมด รองลงมาคือมาเลเซียที่ 43% ตามมาด้วยไทยและเวียดนามซึ่งมีสัดส่วน 29% และ 28% ตามลำดับ

ทั้งนี้ การยกเว้นภาษีดังกล่าวอาจมีผลเพียงชั่วคราว เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมตามมาตรา 232 กับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์กลุ่มนี้และสินค้าอื่นๆที่ได้รับการยกเว้นอยู่ด้วย อาทิ เภสัชภัณฑ์ ไม้แปรรูป และแร่สำคัญ

TDRI ชี้ไทยเจอภาษีทรัมป์ ขีดความสามารถลด เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาด

เมื่อพิจารณาอัตราภาษีที่แท้จริง (effective tariff rate) โดยถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าการส่งออกสินค้าแต่ละประเภทในปี 2024 ปรับด้วยอัตราภาษีเฉพาะรายสินค้าและหักลบข้อยกเว้นภาษีที่มีอยู่ (ดูภาพที่ 4) จะพบว่าเม็กซิโกและแคนาดาจะมีอัตราภาษีที่แท้จริงเหลือเพียง 5.2-5.9% ในกรณีที่มีการใช้สิทธิ USMCA อย่างเต็มที่ ในขณะกลุ่มจีน บราซิลและอินเดียยังคงเผชิญกับอัตราภาษีสูงสุดเช่นเดิม

สำหรับไทย อัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 15% มาอยู่ที่ 16.5% แม้เป็นระดับที่ต่ำกว่าเวียดนาม (เพิ่มขึ้นจากเดิม 15.4% เป็น 19.3%) และอินโดนีเซีย (เพิ่มขึ้นจากเดิม 17.6% เป็น 22.5%) แต่ก็ยังสูงกว่าประเทศอื่นหลายประเทศ รวมถึงมาเลเซียที่ได้อานิสงส์จากการยกเว้นภาษีในสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มากกว่าไทยและเวียดนาม แสดงให้เห็นว่าการส่งออกของไทยเสี่ยงจะได้รับผลกระทบมากกว่าคู่ค้าหลายราย

TDRI ชี้ไทยเจอภาษีทรัมป์ ขีดความสามารถลด เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาด

ไทยเจอภาษีสูง ขีดความสามารถลด แข่งขันลำบาก 

หากพิจารณาเพียงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ผลกระทบต่อไทยอาจไม่มากอย่างที่คาดการณ์

การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะมีผลโดยตรงต่อการส่งออกของไทยและประเทศคู่ค้าอื่นๆ โดยทำให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น กดให้การบริโภคโดยรวมในสหรัฐฯต่ำลง แม้ผู้ส่งออกจะสามารถผลักภาระภาษีไปยังผู้นำเข้าและผู้บริโภคสหรัฐฯ บางส่วน (ราว 70% ของภาษี)[3]   

นอกจากนี้ สินค้าส่งออกหลักของไทยไปสหรัฐฯ ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายรายการ เป็นสินค้าที่ผู้นำเข้าและผู้บริโภคสหรัฐฯ มีความอ่อนไหวต่อราคาสูง[4] หากราคาสินค้าไทยสูงขึ้นกว่าคู่แข่ง ผู้นำเข้ามีแนวโน้มจะหันไปซื้อจากประเทศอื่นดังที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่าอัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริงเพิ่มขึ้น 1% จะลดยอดส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ราว 2%

อย่างไรก็ตาม การได้รับการยกเว้นภาษีชั่วคราวสำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีมูลค่าถึง 29% ของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯทั้งหมด จะช่วยบรรเทาผลกระทบได้พอสมควร  นอกจากนี้ การที่คู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งมีโครงสร้างการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯใกล้เคียงกับไทย (ดูภาพที่ 5 ดัชนีความคล้ายคลึงของสินค้าส่งออก) ต่างเผชิญอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกัน ก็ช่วยลดความเสี่ยงที่ไทยจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐ ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตสหรัฐฯ เองก็ไม่น่าจะสามารถปรับการผลิตสินค้าในประเทศให้ทดแทนสินค้าที่นำเข้าจากไทยได้ทั้งหมด อย่างน้อยก็ในระยะสั้น

กระนั้นก็ตาม ไทยมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียตลาดให้กับเม็กซิโก เนื่องจากเม็กซิโกได้เปรียบอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่ามาก และมีสินค้าส่งออกคล้ายไทยพอสมควร (ดูภาพที่ 5) ตัวอย่างเช่น ในกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า สินค้าส่งออก 5 อันดับแรกของไทยมูลค่าราว 5.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 7% ของการส่งออกทั้งหมดไปสหรัฐฯ) อาจเสียส่วนแบ่งให้เม็กซิโกได้ง่าย เพราะภาษีนำเข้าทำให้ราคาสินค้าไทยแพงขึ้นมากกว่า อาจทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าประเภทเดียวกันจากเม็กซิโก ซึ่งปัจจุบันมียอดส่งออกไปสหรัฐฯ ราว 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.9% ของการส่งออกทั้งหมดไปสหรัฐฯ)

TDRI ชี้ไทยเจอภาษีทรัมป์ ขีดความสามารถลด เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาด

ในอีกด้านหนึ่ง ไทยมีโอกาสขยายการส่งออกเพื่อทดแทนสินค้าบางรายการจากจีนที่ถูกเก็บภาษีสูงกว่า แต่โอกาสนี้ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถในการผลิตของไทย โดยต้องไม่เป็นเพียงแค่ตัวกลางนำเข้า-ส่งออกสินค้าจากจีนไปสหรัฐฯ (transshipment) ซึ่งจะไม่สร้างมูลค่าเพิ่มใดๆต่อเศรษฐกิจและอาจนำไปสู่การลงโทษทางภาษีเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ

ผลกระทบจากภาษีต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ จะสะท้อนมาถึง GDP โดยปี 2024 มูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ มีสัดส่วนราว 12.5% ของ GDP ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่มีนัยยะสำคัญ แต่ยังต่ำกว่าเวียดนามที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐสูงถึง 30% ของ GDP

ไทยมีความสามารถในการแข่งขันลดลง เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาดในสงครามการค้า 

แม้อัตราภาษีนำเข้าจะไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งหลักโดยตรง แต่ไทยเสี่ยงจะได้รับผลกระทบมากกว่าเนื่องจากความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอยลง หากประเทศคู่แข่งสามารถกดต้นทุนและลดราคาได้มากกว่า รวมถึงส่งผ่านภาระภาษี (pass-through) ไปยังผู้บริโภคสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่ต่ำกว่า ก็จะทำให้สินค้าไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น  

อีกทั้ง การขึ้นภาษีของทรัมป์ไม่ได้กระทบเพียงการส่งออกไปยังสหรัฐฯเท่านั้น แต่ส่งผลให้การค้าโลกแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น เพราะเมื่อสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดบริโภคใหญ่ที่สุดลดการนำเข้าลง ประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบก็จะเร่งหาตลาดใหม่เพื่อทดแทน ทำให้การแข่งขันทางการค้าในภูมิภาคอื่นรุนแรงขึ้น หากคู่แข่งของไทยสามารถลดต้นทุนและราคาได้มากกว่า หรือยกระดับคุณภาพสินค้าได้ดีกว่า ไทยก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียส่วนแบ่งตลาดทั้งในตลาดสหรัฐและตลาดโลก  

TDRI ชี้ไทยเจอภาษีทรัมป์ ขีดความสามารถลด เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาด

ข่าวร้ายคือความสามารถในการแข่งขันของไทยกำลังถดถอยลง เห็นได้จากดัชนีความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ (Economic Complexity Index: ECI) ที่ลดลงราว 25% จากอันดับที่ 24 ในปี 2017 หล่นมาอยู่ที่ 29 ในปี 2023 สะท้อนถึงการสูญเสียศักยภาพในการผลิตและส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ขณะเดียวกัน สินค้าหลักที่ไทยถนัด เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ก็กำลังเผชิญการแข่งขันรุนแรงขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านคะแนน Product complexity index ของสินค้าเหล่านี้ที่ลดลง ซึ่งหมายความว่าสินค้าส่วนใหญ่ของไทยไม่ใช่สินค้าที่ผลิตยากเหมือนในอดีตอีกแล้ว เนื่องจากหลายประเทศสามารถผลิตได้มากขึ้นและจะเข้ามาแย่งตลาดส่งออก

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อกังวลด้วยว่าอุตสาหกรรมหลักอาจปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงตลาดโลก เช่น การเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังเข้ามาแทนรถยนต์สันดาปที่ไทยมีความถนัด

TDRI ชี้ไทยเจอภาษีทรัมป์ ขีดความสามารถลด เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาด

เศรษฐกิจไทยสุ่มเสี่ยงเติบโตต่ำลงในโลกสงครามการค้า

การวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ Global Trade Analysis Project (GTAP) พบว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่ไม่มีมาตรการดังกล่าว มาตรการภาษีของสหรัฐฯ และการตอบโต้ของจีนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยใน 3 ภาพสถานการณ์ดังนี้ 

ผลโดยตรง: หากพิจารณาเฉพาะผลจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยประเทศเดียว (ยังไม่รวมผลจากการที่ประเทศคู่ค้าอื่นเผชิญภาษีสูงขึ้นด้วย) คาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะลดลงราว 0.3% และการส่งออกไปสหรัฐฯ หดตัวถึง 37% เพราะราคาสินค้าไทยจะสูงกว่าคู่แข่งมาก ทำให้ผู้นำเข้าและผู้บริโภคหันไปซื้อจากประเทศอื่นแทน

ผลโดยรวม: เมื่อรวมผลทางอ้อมจากการที่ประเทศคู่ค้าอื่นทั่วโลกเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าด้วยเช่นกัน

กรณีแข่งขันไม่ได้: เศรษฐกิจไทยจะหดตัวราว 0.77% โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ จะลดลง 15.4% และสูญเสียตลาดส่งออกโลกอีก 0.9% ทำให้การส่งออกทั้งหมดตกลงราว 2.6%

กรณีแข่งขันได้ในระดับหนึ่ง: การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะลดลง 0.42% โดยการส่งออกไปสหรัฐจะลดลง 13.9% แต่จะสามารถขยายการส่งออกไปตลาดอื่นได้ในระดับหนึ่ง ทำให้การส่งออกทั้งหมดตกลงเพียง 1.37%

กรณีแข่งขันได้: หากไทยสามารถปรับตัวแข่งขันได้พอสมควร ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจำกัดอยู่เพียง 0.01% แม้การส่งออกไปสหรัฐฯ จะลดลงราว 12.53% แต่สามารถชดเชยได้จากการขยายตลาดส่งออกในภูมิภาคอื่น

TDRI ชี้ไทยเจอภาษีทรัมป์ ขีดความสามารถลด เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาด

ในทุกภาพสถานการณ์ เศรษฐกิจโลกจะหดตัวราว 0.71% และการค้าโลกจะหดตัวลงราว 2.9% โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ ของทุกประเทศจะลดลง ยกเว้นเม็กซิโกและแคนาดาที่จะได้ประโยชน์การใช้สิทธิยกเว้นภาษี ในขณะที่สหรัฐฯ จะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจจะหดตัวราว 2.39%เหตุผลสำคัญคือ ภาษีนำเข้าที่จัดเก็บส่วนใหญ่จะถูกผลักมาที่ผู้บริโภคและบริษัทภายในสหรัฐฯ ผ่านราคาสินค้าที่สูงขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของครัวเรือนลดลง และต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจที่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ภาวะเช่นนี้ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ stagflation (เศรษฐกิจซบเซาควบคู่กับเงินเฟ้อสูง)

TDRI ชี้ไทยเจอภาษีทรัมป์ ขีดความสามารถลด เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาด

ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักถัดมาคือ เวียดนาม เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงถึง 30% ของ GDP โดยคาดว่า GDP จะลดลงราว 0.95% ตามมาด้วยกลุ่มประเทศที่ถูกเก็บภาษีในอัตรา 50% ได้แก่ จีน (−0.6%), บราซิล และ อินเดีย (−0.33%) ส่วนประเทศที่กระทบค่อนข้างจำกัดคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรป ซึ่งคาดว่า GDP จะลดลงเพียงราว 0.01–0.03% เพราะเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่า ขณะที่อินโดนีเซียซึ่งส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 2.1% ของ GDP ได้รับผลกระทบต่ำเช่นกันราว 0.03%

ในทางตรงกันข้าม ประเทศที่มีโอกาสได้ประโยชน์มากที่สุดคือเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งจะได้อานิสงส์จากข้อยกเว้นภาษีนำเข้าภายใต้ข้อตกลง USMCA โดยคาดว่าจะสามารถขยายการส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ขึ้นอีก 7.3% จากกรณีไม่มีมาตรการภาษี และทำให้เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มขึ้นอีกราว 0.35% อย่างไรก็ดี หากความขัดแย้งทางภาษีระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ยืดเยื้อหรือรุนแรงขึ้น ผลได้ทางเศรษฐกิจก็อาจลดลงหรือแม้กระทั่งพลิกเป็นผลลบได้เช่นกัน

มาตรการจัดการ ‘สินค้าสวมสิทธิ’ จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยเจ็บหนัก

ไทยและอาเซียนยังเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 40% สำหรับสินค้าที่ถูกมองว่าเป็น ‘การสวมสิทธิ’ ของจีน โดยหลังสงครามการค้า ผู้ผลิตจีนได้ปรับตัวด้วยการส่งสินค้าผ่านประเทศในอาเซียนไปยังสหรัฐฯ (rerouting) เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกของไทยและอาเซียนไปสหรัฐฯ เติบโตในทิศทางเกือบจะเป็นอัตราเดียวกับการนำเข้าจากจีนดังที่แสดงในภาพที่ 10

TDRI ชี้ไทยเจอภาษีทรัมป์ ขีดความสามารถลด เสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาด

แม้ยังไม่มีงานศึกษาที่ประเมินการสัดส่วนสินค้าสวมสิทธิต่อมูลค่าการส่งออก แต่มีการคาดการณ์ว่ามีธุรกิจในไทยราว 3 พันแห่งที่ดำเนินธุรกิจแบบนำเข้า-ส่งออกสินค้าสวมสิทธิ[9] ในขณะที่มีงานวิจัยระบุว่าในปี 2021 ประมาณ 16.1% ของสินค้าส่งออกจากเวียดนามไปสหรัฐฯ อาจเข้าข่ายเป็นสินค้าสวมสิทธิในอนาคต แม้ว่าสินค้าเหล่านี้บางส่วนเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการยกเว้นจากมาตรการภาษีทรัมป์

การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้แม้จะชะลอตัวจากการถูกเก็บภาษีในอัตรา 40% แต่น่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มาก เพราะสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่ากังวลคือ สหรัฐฯ อาจใช้กฎแหล่งกำเนิดสินค้า (rule of origin) เพื่อคัดกรองสินค้าที่เข้าข่ายการสวมสิทธิ โดยกำหนดให้สินค้าที่อ้างว่าผลิตในไทยต้องมีสัดส่วนการผลิตภายในประเทศอย่างน้อย 40–60% โดยหากต่ำกว่านี้จะถูกจัดว่าเป็นสินค้าสวมสิทธิ และต้องเสียภาษีนำเข้าสูงถึง 40% ซึ่งจะกระทบทั้งสินค้าที่สวมสิทธิจริง และสินค้าที่ผลิตในไทยโดยพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจากจีนหรือประเทศอาเซียนอื่นในห่วงโซ่อุปทานด้วย

ในกรณีที่ไทยและเวียดนามได้รับผลกระทบจากมาตรการกฎแหล่งกำเนิดสินค้า โดยสมมติว่าร้อยละ 20 ของกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งออกถูกกล่าวหาว่าเป็นสินค้าสวมสิทธิ ต้องเสียภาษี 40% จากเดิมที่ได้รับการยกเว้น  เศรษฐกิจไทยจะหดตัวเพิ่มขึ้นจาก 0.7% เป็น 0.9% ขณะที่เวียดนามจะได้รับผลกระทบรุนแรงกว่า โดยหดตัวจาก 0.9% เป็น 1.15%

ข้อตกลงเปิดเสรีกับสหรัฐฯเป็นโอกาสที่มาพร้อมกับความท้าทาย

มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการจัดระเบียบการค้าโลกใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ สหรัฐฯ ยังใช้การเจรจากดดันประเทศคู่ค้าให้เปิดตลาดแก่สินค้าอเมริกันมากขึ้น ทั้งผ่านการลดภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ การลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี การทำข้อตกลงซื้อสินค้าสหรัฐฯ ข้อตกลงการลงทุนในสหรัฐฯ ตลอดจนการจัดการห่วงโซ่อุปทานของจีน มาตรการเหล่านี้อาจซ้ำเติมผลกระทบจากภาษีรุนแรง หรืออาจช่วยบรรเทาผลกระทบสำหรับบางประเทศได้เช่นกัน

สำหรับไทย เท่าที่มีการเปิดเผยรายละเอียด ไทยตกลงจะเปิดตลาดให้แก่สินค้านำเข้าสหรัฐฯ ราว 90% ของรายการสินค้าทั้งหมด ในทางหนึ่ง การลดภาษีนำเข้าเปิดโอกาสให้ไทยเข้าถึงสินค้าอุปโภคบริโภคและวัตถุดิบที่มีราคาต่ำลงจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลดีต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิต ตัวอย่างเช่น การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลืองในราคาถูกลงช่วยลดต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์และปศุสัตว์ ส่งผลให้ราคาเนื้อสัตว์ถูกลงและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารไทย

ทั้งนี้ การประเมินด้วยแบบจำลองพบว่าหากไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรลงครึ่งหนึ่งจากปัจจุบัน จะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ราว 0.08% ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบทางลบจากการมาตรการภาษีของทรัมป์

แต่อีกด้านหนึ่ง การเปิดตลาดก็ย่อมมีผลกระทบด้านลบต่อผู้ผลิตไทยในภาคเกษตร เช่น เนื้อหมู ซึ่งต้องแข่งขันกับสินค้าสหรัฐฯ ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า หากเปิดตลาดเร็วเกินไปอาจสร้างแรงกดดันต่อเกษตรกรในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

ปัจจุบัน ท่าทีของรัฐบาลไทยคือจะเปิดเสรีทางการค้าแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยกำหนดโควตาการนำเข้าสำหรับสินค้าเกษตรที่เปราะบาง ซึ่งถือเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการบรรเทาผลกระทบ พร้อมทั้งรักษาสมดุลระหว่างการเปิดเสรีกับการบรรเทาผลกระทบต่อผู้ผลิตภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์สุดท้ายจะขึ้นอยู่กับรายละเอียดของเงื่อนไขการเปิดตลาดที่จะตกลงกัน  

ไทยจะอยู่รอดในสงครามการค้า…ต้องปรับตัวผลิตเก่งขึ้น-มองหาแต้มต่อการค้า

เราควรมองว่าการจัดระเบียบการค้าโลกใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่งเริ่มต้นขึ้น กระบวนการเจรจายังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความไม่แน่นอน ทั้งในเรื่องอัตราภาษีที่ยังอาจเปลี่ยนแปลงได้ การกำหนดลักษณะของสินค้าสวมสิทธิ์ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน และข้อเรียกร้องใหม่ ๆ ที่อาจถูกหยิบยกขึ้นมาในอนาคต

แต่สิ่งที่ชัดเจนแล้วคือการแข่งขันทางเศรษฐกิจจะทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น ไทยจึงจำเป็นต้องเร่งเสริมขีดความสามารถด้านการผลิตและการส่งออก ซึ่งเดิมก็เป็นโจทย์การปฏิรูปเศรษฐกิจอยู่แล้ว ทั้งการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การยกระดับเทคโนโลยีการผลิต และการพัฒนาทักษะแรงงาน แต่ภายใต้บริบทใหม่นี้ โจทย์เหล่านี้จะเป็นเรื่องเร่งด่วนมากขึ้น

สำหรับการเจรจาข้อตกลงกับสหรัฐฯ ไทยควรมุ่งเน้นไปที่การลดผลกระทบจากมาตรการภาษีและการเปิดเสรี การหาแต้มต่อทางการค้า และการป้องกันผลข้างเคียงต่อความสามารถในการแข่งขัน ดังนี้

ลดผลกระทบ

ลดผลกระทบจากมาตรการจัดการปัญหาสินค้าสวมสิทธิ โดยร่วมมือกับอาเซียนผลักดันให้สหรัฐฯ ยอมนับมูลค่าการผลิตที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียนเป็นแหล่งกำเนิดเดียว (ASEAN regional content) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากข้อกล่าวหาสินค้าสวมสิทธิ เมื่อเทียบกับหลักเกณฑ์ที่จะนับเฉพาะมูลค่าการผลิตภายในประเทศไทย และช่วยให้ห่วงโซ่อุปทานปรับตัวได้ง่ายเมื่อต้องลดการพึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบจากจีนโดยตรง

วางเงื่อนไขการเปิดเสรีภาคเกษตรอย่างรอบคอบ โดยควรหารือกับเกษตรกรกลุ่มต่างๆ และควรมีแผนรองรับทั้งการช่วยเหลือระยะสั้นและการลงทุนเพื่อยกระดับการผลิตด้วยเทคโนโลยีใหม่ เพื่อให้เกษตรกรสามารถปรับตัวได้

หาแต้มต่อ

หาโอกาสในการเจรจายกเว้นหรือลดภาษีลงจากอัตรา 19% สำหรับสินค้าบางรายการที่ไม่มีการผลิตในสหรัฐฯ โดยให้เหตุผลว่าจะส่งผลเสียต่อผู้ประกอบการในสหรัฐ และจะช่วยลดระดับเงินเฟ้อในสหรัฐฯ  

ป้องกันผลข้างเคียง

ระวังไม่ให้ข้อตกลงบางประการมีผลบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันในตลาดอื่นนอกสหรัฐฯ ตัวอย่างหนึ่งคือข้อตการตกลงซื้อ LNG จากสหรัฐฯ ซึ่งแม้เป็นสินค้าที่ไทยต้องนำเข้าอยู่แล้ว แต่ต้องไม่ให้กลายเป็นการขัดขวางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนและเป้าหมายการลดคาร์บอน มิเช่นนั้น อาจกระทบความสามารถแข่งขันในตลาดยุโรปที่กำลังจะบังคับใช้มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งจะทำให้สินค้าที่มีการผลิตโดยปล่อยคาร์บอนสูง มีราคาสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ตลาดยุโรป