svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

สภาพัฒน์ขยับเป้า GDP ปีนี้เพิ่มเป็น 2% รับแรงหนุน 'ลงทุน-บริโภค'

สภาพัฒน์ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนี้โต 2% จากเดิม 1.8% รับแรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น การบริโภคภายในประเทศขยายตัวต่อเนื่อง

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 2/2568 ระบุว่า สศช. ปรับตัวเลขคาดการณ์จีดีพีเพิ่มขึ้นจากเดิม 1.3 – 2.3% (ค่ากลางอยู่ที่ 1.8%) เพิ่มเป็น 1.8 – 2.3% (ค่ากลางอยู่ที่ 2%) โดยเป็นการปรับตามปริมาณการค้าโลกที่เพิ่มขึ้นเป็น 3% จากเดิม 1.8% ขณะที่เศรษฐกิจของคู่ค่ายังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ประมาณ 0.3% ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 32.5 – 33.5 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะอยู่ที่ 33 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 1.57 ล้านล้านบาท 

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวได้ 2.8%  ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 3.2 ในไตรมาส 1/2568 เมื่อขจัดปัจจัยฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2568 ขยายตัวร้อยละ 0.6 ชะลอลงจากการขยายตัว ร้อยละ 0.7 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเศรษฐกิจในไตรมาสที่ผ่านมา ได้ปัจจัยหลักมาจาก การชะลอตัวของการผลิตภาคนอกเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ขณะที่การผลิตภาคเกษตรขยายตัวต่อเนื่อง สำหรับด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชน และการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลชะลอตัวลง การส่งออกสินค้า และบริการขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การสะสมทุนถาวรเบื้องต้น และการนำเข้าสินค้า และบริการเร่งตัวขึ้น รวมครึ่งปีแรก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ขยายตัวร้อยละ 3.0

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ 1.8 – 2.3 (ค่ากลางการประมาณการร้อยละ 2.0) ชะลอลงจากร้อยละ 2.5 ในปี 2567 ตามแนวโน้มการลดลงของปริมาณการส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งหลังของปีที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการผลิตภาคอุตสาหกรรม ท่ามกลางแนวโน้มการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดและความเสี่ยงจากภาระหนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง 

ความผันผวนของราคาและผลผลิตภาคการเกษตร และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการค้าโลก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายลงทุนภาครัฐ การขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน ทั้งนี้ คาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 2.1 และร้อยละ 1.0 ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 5.5 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.0 – 0.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.1 ของ GDP
 

รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2568 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้ 

1.    การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.1 ชะลอลงจากร้อยละ 4.4 ในปี 2567 และปรับลดลงจากร้อยละ 2.4 ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอตัวของรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการลดลงของรายได้เกษตรกรตามระดับราคาสินค้าเกษตรที่ลดลง และ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.2 ชะลอลงจากร้อยละ 2.5 ในปีก่อนหน้า ใกล้เคียงกับร้อยละ 1.3 ในการประมาณการครั้งก่อน 

2.    การลงทุนรวม คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.1 เทียบกับร้อยละ 0.0 ในปี 2567 และเป็นการปรับเพิ่มจากร้อยละ 0.9 ในการประมาณการครั้งก่อน โดย (1) การลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.0 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ (-1.6) ในปีก่อนหน้า และเป็นการปรับเพิ่มจากการลดลงร้อยละ (-0.7) ในการประมาณการครั้งก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมูลจริงในครึ่งปีแรกที่ขยายตัวสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ (2) การลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.2 ต่อเนื่องจากร้อยละ 4.8 ในปี 2567 แต่เป็นการปรับลดจากร้อยละ 5.5 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา ตามการปรับลดสมมติฐานอัตราเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ 2568 และการปรับสมมติฐานการจัดสรรงบประมาณภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ

3.    มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.5 ชะลอลงจากร้อยละ 5.8 ในปี 2567 แต่ปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.8 ในการประมาณการครั้งก่อน ตามการขยายตัว
ในเกณฑ์สูงของมูลค่าการส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ที่ขยายตัวร้อยละ 15.0 อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบจากอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกจะเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี เมื่อรวมกับการปรับลดการส่งออกบริการเพื่อให้สอดคล้องกับการปรับลดสมมติฐานจำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2568 จะขยายตัวร้อยละ 5.1 ชะลอลงจากร้อยละ 7.8 ในปีที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.5 ในการประมาณการครั้งก่อน
ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2568

การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2568 ควรให้ความสำคัญกับ

1)    การดำเนินการเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้ของประเทศสำคัญ ประกอบด้วย 

(1) การขยายตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มที่จะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด อาทิ เครื่องโทรศัพท์ เครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ หม้อแปลงไฟฟ้า อุปกรณ์ประกอบยานยนต์ และเครื่องปรับอากาศ โดยควบคู่ไปกับการเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ 

(2) การยกระดับการตรวจสอบและเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิด (Rule of origin) เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ทางการค้าและลดความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกดำเนินมาตรการทางภาษีเพิ่มเติม โดยเร่งรัดปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและจัดทำแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการปรับปรุงกระบวนการขอรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin: C/O) และกระบวนการตรวจสอบและรับรองสัดส่วนของมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้าสำคัญ ๆ (Regional Value Content: RVC) ให้มีประสิทธิภาพและไม่สร้างภาระต้นทุนแก่ผู้ประกอบการเพิ่มเติม 

(3) การตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากประเทศผู้ส่งออกสำคัญ เพื่อลดผลกระทบจากการทะลักของสินค้านำเข้า โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าให้มีความเข้มงวดรัดกุมมากขึ้น และเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมสินค้านำเข้า รวมทั้งการดำเนินการอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำความผิดลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมายหรือไม่ได้มาตรฐานโดยเฉพาะการลักลอบการนำเข้าสินค้าตามแนวชายแดน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบให้สามารถเข้าถึงกระบวนการยื่นคำขอและไต่สวนการใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด การอุดหนุน และมาตรการปกป้องจากการนำเข้า (AD/CVD/AC) และ (4) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก

2)    การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับ (1) การเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2566 – 2568 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนซึ่งมียอดขอรับการลงทุนสูงในช่วงที่ผ่านมา (2) การทบทวนสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนผ่านรูปแบบการร่วมลงทุน (Joint Venture) และส่งเสริมการสร้างธุรกิจเกี่ยวเนื่องในไทย รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการถ่ายโอนองค์ความรู้และเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการไทย และลดความเสี่ยงจากการใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกสินค้า (Transshipment) พร้อมทั้งการทบทวนสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยกำหนดเงื่อนไขการใช้วัตถุดิบ (Local Content) การจ้างแรงงานภายในประเทศ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น และ (3) การพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการปรับลดอุปสรรคด้านขั้นตอนกระบวนการ และข้อบังคับ/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต และการพัฒนาผลิตภาพแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมและภาคบริการเป้าหมาย รวมทั้งการเพิ่มผลิตภาพการผลิตผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อนำไปสู่การผลิตสินค้าไทยที่มีศักยภาพและสามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลกมากขึ้น

3)    การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง โดยมุ่งเน้น (1) การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง รวมถึงการเตรียมความพร้อมของปัจจัยแวดล้อมด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ สนามบิน/เที่ยวบิน กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก การบริหารจัดการพื้นที่และสิ่งแวดล้อม (2) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มพำนักระยะยาว ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น และ (3) การส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูง และยกระดับศักยภาพและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและยั่งยืน

4)    การให้ความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่องและได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้า ผ่านมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สินเชื่อเพื่อการปรับตัว (Transformation Loan) และการส่งเสริมสินเชื่อเครือข่ายธุรกิจเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เพื่อให้ลูกหนี้โดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจ SMEs ได้รับความช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้และสามารถชำระหนี้ได้อย่างเหมาะสมตามศักยภาพ ควบคู่ไปกับการมุ่งเน้นแนวทางในการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ SMEs และการยกระดับศักยภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs

5)    การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ไม่ให้ต่ำกว่าร้อยละ 65 ของกรอบงบลงทุนรวม โดยเร่งรัดกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการก่อหนี้ผูกพันสัญญาโดยเฉพาะในโครงการที่สำคัญทั้งโครงการลงทุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ รวมทั้งการเร่งรัดการดำเนินการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจที่ได้รับการอนุมัติไปแล้ว ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมดำเนินการโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็วเพื่อให้แรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐมีความต่อเนื่อง ขณะเดียวกันควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพทางการคลังเพื่อเพิ่มช่องว่างทางการคลัง (Fiscal Space) ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับหากมีสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์เกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงเพื่อไม่ให้เสถียรภาพทางการคลังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Credit Rating) ในระยะต่อไป

6)    การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยเฉพาะในฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดในปริมาณมากจนส่งผลต่อราคาและรายได้เกษตรกร โดยให้ความสำคัญกับการวางแผนด้านการตลาด โดยการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและการชะลอผลผลิตเข้าสู่ตลาด ควบคู่ไปกับการเตรียมการรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากปรากฏการณ์ลานีญาในช่วงปลายปี 2568 ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาอุทกภัย โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการยกระดับประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเตือนภัย ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่เกษตรกรผ่านการส่งเสริมรูปแบบและพัฒนาระบบประกันภัยพืชผลจากความเสี่ยงของสภาพอากาศ