
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ระบุ ธนาคารกรุงเทพ ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีไทยปีนี้ลงเหลือ 2% จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3% โดยยอมรับว่ายังมีความเสี่ยงขาลง (downside) ที่จะมีโอกาสต่ำถึง 1.5% หลังเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้กำลังเผชิญปัจจัยรอบด้าน
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยถดถอยอย่างเห็นได้ชัด มาจากภาคการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักที่เคยถูกคาดหวังว่าจะฟื้นตัวได้ดีในปีนี้ กลับไม่เป็นไปตามเป้า เนื่องจากมีการวิเคราะห์ว่าประเทศคู่ค้าได้เร่งกักตุนสินค้าไปแล้วในช่วงต้นปี ได้เร่งการส่งออกตั้งแต่ต้นปีเพื่อหนีภาษี เพื่อป้องกันความผันผวนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทำให้การสั่งซื้อในครึ่งปีหลังอาจจะซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากไม่มีการซื้อขาย นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า จึงทำให้สถานการณ์การส่งออกมีความเสี่ยงสูงขึ้นอีกด้วย
ภาคการท่องเที่ยวเป็นอีกหนึ่งความหวังของเศรษฐกิจไทยก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุการณ์ความไม่สงบและวิกฤตความขัดแย้งในหลายพื้นที่ทั่วโลก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เช่นกรณีเหตุการณ์ลักพาตัวนักแสดงชาวจีน ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวโดยรวมลดลงอย่างมาก จากที่เคยคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 20% กลับกลายเป็น ติดลบไปแล้วถึง 2-3% อย่างไรก็ตาม ยังพอมีความหวังจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรปที่ยังคงเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไว้ โดยความล่าช้าในการขับเคลื่อนนโยบายและการตัดสินใจที่สำคัญของภาครัฐ ทำให้การลงทุนและการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนชะลอตัวลง บรรยากาศทางธุรกิจขาดไม่เอื้อต่อการลงทุนใหม่ ๆ ขณะที่ภาคธุรกิจทั่วไป ผู้บริโภค ยอดขายในร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าที่ลดลงสะท้อนจาก ยอดรูดบัตรเครดิตที่ติดลบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปิดตัวของร้านอาหารจำนวนมาก และการปิดโรงงาน ดังนั้น มองว่าเศรษฐกิจโดยรวมปีนี้เผชิญโจทย์ยากมากขึ้น
อย่างไรก็ตามภายใน 1 เดือนคงต้องรอความชัดเจนของอัตราภาษีการค้าที่สหรัฐเพิ่มขึ้นในแต่ละประเทศเพื่อจะได้ประเมินว่าผลกระทบที่ไทยจะได้รับอยู่ในระดับใดในอีกไม่นานนี้ เมื่อสหรัฐประกาศเก็บภาษีรายประเทศออกมา ซึ่งจะสามารถประมาณการณ์ตัวเลขการส่งออกในช่วงปลายปีได้ว่าจะออกมาดีหรือไม่ดี โดยเฉพาะอัตราภาษีที่ประเทศคู่แข่งทางการค้าของไทยอย่างเวียดนามจะได้รับ
ทั้งนี้ มองว่าสิ่งที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ โดยมองว่ารัฐบาลควรเร่งมือผลักดันอย่างเร่งด่วน เช่นการท่องเที่ยว ยังคงเป็นความหวังสำคัญ หากสถานการณ์ความขัดแย้งทั่วโลกคลี่คลายลง รัฐบาลควรเร่งโปรโมทการท่องเที่ยวใน ตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย เพื่อทดแทนตลาดเดิมที่ซบเซาไป ดังนั้น ปีนี้หากมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยได้ถึง 35.5 ล้านคนเท่ากับปีก่อนก็นับว่าดีมากแล้ว โดยพบว่านักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกรุ๊ปทัวร์และจากเมืองรองหายไป ขณะที่เป็นครอบครัวยังมาอยู่ ส่วนนักท่องเที่ยวยุโรปยังเดินทางมาอยู่ โต18% แต่ภาพรวมก็ยังถือว่ายังไม่เข้าเป้า จึงทำให้น่าหนักใจ
ขณะที่ภาคการส่งออกไม่ควรรอความหวังจากประเทศคู่ค้าเดิมอีกต่อไป แต่ควรหันไป มองหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกา และเร่งเจรจาทางการค้าเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับผู้ประกอบการไทย ส่วยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ยังคงเป็นจุดแข็งของไทย เนื่องจากไทยยังคงเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ รัฐบาลจึงควรเร่งรัดให้สิทธิประโยชน์ที่น่าดึงดูดใจเพื่อดึงดูดการลงทุนให้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้มองว่ารัฐบาลควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการ ดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ ทั้งนักลงทุนและกลุ่มผู้เชี่ยวชาญให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Startup ที่กำลังมองหาฐานการดำเนินงานแห่งใหม่ เพื่อสร้างบรรยากาศทางธุรกิจที่คึกคักและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว
นอกจากนี้ยังฝากถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. คนใหม่ว่า อยากให้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.5% โดยอาจทยอยลดอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% เพื่อสร้างโมเมนตั้มให้กับเศรษฐกิจไทย เตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนของโลก ที่ต้องเผชิญกับสงครามความขัดแย้งที่ไม่รู้จะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน ซึ่งจะกระทบให้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจซื้อ ชะลอลงทุน ชะลอขยายธุรกิจ หรือชะลอการจ้างงานเพิ่ม หากธปท.ลดดอกเบี้ยให้มีแรงส่ง