รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปานปรีย์ พหิทธานุกร แถลงผลการเยือนต่างประเทศในรอบ 6 เดือนของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบายเชิงรุกในด้านการต่างประเทศ ซึ่งทำให้ไทยได้รับการยอมรับและมีสถานะดีขึ้น จากการเดินทางเยือนต่างประเทศ รวมถึงรับการเยือนไทยจากหลายประเทศเช่นกัน
รัฐบาลให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและเพิ่มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยใช้การทูตสนับสนุน การเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีก็มีความหมายมาก โดยเฉพาะที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้พบบริษัทชั้นนำของโลกมากถึง 60 บริษัท และชักชวนให้มาลงทุนในไทย
ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งมีการลงนาม FTA ระหว่างไทยและศรีลังกาไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ และกำลังอยู่ระหว่างเจรจา FTA กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป (อียู) ก็เชื่อว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2568
ส่วนแผนการทำงานในอีก 6 เดือนข้างหน้า เช่น จะนำผลการเยือนมาสู่การปฏิบัติ เร่งรัดติดตามผลการหารือระหว่างรัฐกับรัฐหรือรัฐกับเอกชน เร่งรัดและขยายการเจรจา FTA กับประเทศอื่นๆ ผลักดันการยกเว้นวีซ่าให้คนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ การเข้าเป็นสมาชิกองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) การเปิดตลาดใหม่ในทวีปแอฟริกา เอเชียใต้ เอเชียกลาง และการเยือนประเทศสำคัญอีกในอนาคต
วันนี้อาจกล่าวได้ว่าไทยกลับขึ้นมาอยู่บนจอเรดาร์ของโลกแล้ว จากการที่ประเทศต่าง ๆ เปิดไทยเยือนต่างประเทศในระดับสูงและมีการหารือในเรื่องความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการต่างประเทศ อีกเรื่องคือจากการเยือนของต่างประเทศในไทย ล้วนเป็นประเทศที่มีความสำคัญ เช่น ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีนที่นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาวสหรัฐ ได้พบหารือกับนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ใช้พื้นที่ของไทยในการพูดคุยในเรื่องความสำคัญของโลก และประธานาธิบดีของเยอรมนีก็มาเยือนไทยเช่นกัน ชี้ให้เห็นว่าเวลานี้กำลังให้ความสนใจประเทศไทยอย่างมาก