svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

"นฤมล" ดึงแอปพลิเคชัน WeChat  ตัวช่วยขายสินค้าเกษตร-เอสเอ็มอีตีตลาดจีน 

21 ธันวาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

“นฤมล” เร่งขับเคลื่อนดันการค้าและการลงทุนไทยรับเศรษฐกิจฟื้น ถก WeChat หวังพัฒนาเป็นแอคเคาท์สำหรับประเทศไทยเปิดตลาดให้เกษตรกรและเอสเอ็มอีไทยเข้าถึงตลาดจีน 1,400 ล้านคนกลุ่มสินค้าเกษตร-เครื่องสำอางแบรนด์ไทยมาแรง  เร่งขยายโอกาสการค้าและการลงทุนผ่าน FTA 

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย (TTR) เปิดเผยว่า  เป้าหมายของผู้แทนการค้าไทย เป็นหนึ่งในทีมไทยแลนด์ ที่จะร่วมกันดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และร่วมผลักดันการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยปี 2567 เศรษฐกิจจะฟื้นตัวโดยเฉพาะภาคส่งออกที่เดือนต.ค.66 เป็นบวกติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 และคาดว่าปลายปีที่เหลือจะเป็นบวกต่อเนื่อง

สำหรับมีจีนเป็นตลาดที่สำคัญที่สร้างเม็ดเงินจากการส่งออกสินค้าเกษตร และสินค้าจากอุตสาหกรรมการเกษตร ทั้ง ผลไม้ ผลไม้แช่แข็ง ผลไม้สด กลุ่มเกษตรแปรรูปยางพารา รวมถึงเครื่องสำอาง (Cosmetic)ที่เป็นแบรนด์ไทย พบว่ากำลังได้รับความนิยมจากตลาดจีนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีโอกาสขยายตลาดจีนอยู่อีกมากมาก เมื่อเร็วๆ นี้ได้หารือกับทางผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม WeChat จากจีน รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ ในการพัฒนาเป็นแอคเคาท์สำหรับประเทศไทยเพื่อให้เกษตรกรและวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)ของไทยเข้าถึงตลาดจีนมากขึ้น

 

สำหรับจีนมีระบบการสื่อสารผ่านแอปพิเคชั่นเฉพาะตัวนั่นคือ WeChat  ที่ใช้สั่งซื้อสินค้า จ่ายค่าน้ำค่าไฟ แม้กระทั่งกู้เงิน อยู่ตรงนี้หมด ไม่ได้ใช้ Facebook  ไม่ใช้ google   ดังนั้นจึงต้องมองช่องทางที่ให้เข้าถึงลูกค้าจริงๆ จึงเชิญทางผู้พัฒนา WeChat  มาหารือว่าถ้าเราจะเข้าถึง B2B2C (Business to Business to Customer) หรือผู้บริโภค 1,400 ล้านคนในจีน จะต้องทำเป็นแอคเคาท์ของไทย

โดยกระทรวงพาณิชย์หรือหน่วยงานใดที่จะรวบรวมผู้ประกอบการเข้ามาแล้วโปรโมท  ซึ่งขณะนี้หลายประเทศได้ใช้วิธีการดังกล่าว เพื่อส่งสินค้าเข้าถึงกลุ่มตลาดจีน ทั้งญี่ปุ่น รัสเซีย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือในการเปิดตลาดและส่งสินค้าเกษตรไทย ยังมีช่องทางขยายตัวเพิ่มขึ้นในตลาดใหม่ ๆ ซึ่งที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการหารือกับบริษัทหวาอี้ กรุ๊ป ประเทศไทย เป็นรัฐวิสาหกิจของจีนเพื่อร่วมมือกับการยางแห่งประเทศไทย นำผลผลิตยางพารา ไปสู่การแปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับยางพาราของไทยเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น

ซึ่งปัจจุบันบริษัทดังกล่าว ได้มีการตั้งโรงงานรถยนต์ในไทย ภายใต้ ยี่ห้อ Double Coin ตั้งแต่ปีค.ศ. 2016 มีการใช้วัตถุดิบยางพาราของไทย ถึง 150,000 ตันต่อปี และมีแผนขยายโรงงานเพิ่มขึ้นอีก 5 โรงงาน

โดยมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อส่งออกยางรถยนต์ทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่ที่สุด หากบรรลุของตกลงทั้งสองฝ่าย เชื่อว่าจะทำให้ความต้องการผลผลิตยางพารา ทั้งน้ำยาง ยางแผ่น แผ่นยางรมควัน ฯลฯ เพิ่มสูงขึ้น จะเป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำได้ 

สำหรับด้านการลงทุนนั้น จากการหารือกับนักลงทุนในต่างประเทศ ทั้งหอการค้า และสภาธุรกิจของประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่สนใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่ยังมีความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำถาม ใน 3 ประเด็นหลักในการหารือ ประกอบด้วยการจัดหาแหล่งน้ำ การพัฒนาระบบโลจิสติส์ และนโยบายการพัฒนาพลังงานสะอาดของไทย   โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ที่มีความห่วงใยในเรื่องของระบบสาธารณูปโภคด้านน้ำ มีแผนการจัดการน้ำอย่างไร

ซึ่งเรื่องนี้ไทยมีแผนรองรับที่ชัดเจน โดยการขับเคลื่อนของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.)  ส่วนในเรื่องระบบโลจิสติกส์ ต้องการให้ขยายระบบโครงสร้างพื้นฐานในทุกระบบ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้ที่จะยกระดับระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัยและมีความพร้อมรองรับการขยายตัวด้านการขนส่งสินค้าทั้งระบบราง น้ำ และอากาศ

ส่วนในด้านพลังงานสะอาด ไทยมีนโยบายส่งเสริมและพัฒนาพลังงานสะอาด ทั้งในองค์กรภาครัฐและเอกชนที่มีความก้าวหน้า สอดรับกับทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เพื่อมุ่งไปสู่ carbon neutral ในปี 2065
  
ด้านความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในรูปแบบพหุภาคี และทวิภาคี ซึ่งมีอยู่แล้ว 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ ภายใต้การทำงานของ TTR  ยังคำนึงถึงโอกาสการทำตลาดในหลายกลุ่มที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้เร่งขยายตลาดส่งออก และดึงดูดเงินลงทุนเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยมากที่สุด โดยเฉพาะความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(RCEP)

ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีครอบคลุมตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งจะขยายโอกาสทางการค้าและการส่งออกให้ไทยมากขึ้น เพราะสมาชิก 15 ประเทศภายใต้ RCEP มีประชากร 2,222.8 ล้านคนคิดเป็น 30.1% ของประชากรโลก และครอบคลุมมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 1 ใน 3 ของ GDP โลก

 ดังนั้นหน้าที่ของผู้แทนการค้า ต้องมองหาโอกาส ในการทำตลาดของสินค้าไทยในเวทีเหล่านี้ ซึ่งไทยยังสามารถเจาะเข้าไปได้อีกจำนวนมาก ด้วยศักยภาพของเอกชนไทย หนุนดเวยนโยบายรัฐบาล การขยายตลาดและการเพิ่มเม็ดการลงทุนเข้ามาสู่ไทย จะเสริมให้ไทยรักษาขีดความสามารถการแข่งขันให้เติบโตต่อเนื่อง 

logoline