ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เกรียงไกร เธียรนุกูล กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ระบุว่า กรณีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ.เห็นชอบประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 4.68 บาท/หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 17% จากงวดปัจจุบันเดือน ก.ย.-ธ.ค.2566 ที่ 3.99 บาท/หน่วย
มองว่าการขึ้นค่าไฟฟ้าขณะนี้เป็นการซ้ำเติมประชาชน เพราะอาจทำให้ราคาสินค้าปรับขึ้น 5-10% รวมถึงกระทบกับนักลงทุนต่างชาติต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุน เป็นปัจจัยบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ดังนั้น ภาครัฐควรพิจารณาทบทวนค่าไฟงวดเดือนม.ค.-เม.ย.2567 ให้รอบคอบอีกครั้ง โดยเห็นว่าควรตรึงค่าไฟไว้อยู่ที่ 3.99 บาท/หน่วยไปก่อน จนกว่าจะมีการปรับโครงสร้างค่าไฟใหม่ และควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน หรือ กรอ.ด้านพลังงานเพื่อการมีส่วนร่วมดูแลโครงสร้างค่าไฟด้วย
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้น้อยกว่าที่คาด 9 เดือนแรกเติบโตได้เพียง 1.9% โดยการส่งออกยังชะลอตัวตามทิศทางประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะจีน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวอย่างต่อเนื่องและชะลอการผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลัง
นอกจากนี้ รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 28 ล้านคน ลดลงจากคาดการณ์เดิม 30 ล้านคน การใช้จ่ายต่อหัวลดลงเหลือเพียง 43,000 บาท จากที่เคยประมาณการ 45,500 บาท
สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2.8-3.3% มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้น้อยกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับศักยภาพเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน โดยเผชิญทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัจจัยความเปราะบางในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs
ส่วนปัจจัยบวกสำหรับปี 2567 ได้แก่ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 33 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านคนจากปี 2566 ทั้งนี้ หากนโยบายเติมเงินใน digital wallet ดำเนินการได้เต็มวงเงิน 5 แสนล้านบาท ประเมินว่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ได้อีกอย่างน้อย 1-1.5%