
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กรมสรรพากรเตรียมสร้างถังข้อมูลดิจิทัล เพื่อสร้าง Chatbot ในการตอบคำถามเกี่ยวกับภาษีของกรมสรรพากร โดยเร็วๆนี้เตรียมหารือ กับบริษัทไมโครซอฟท์ ในประเด็นการนำ Chatbot App ที่เรียกว่า Chat GPT เพื่อใช้ตอบคำถามเกี่ยวกับภาษีของกรม
เพื่อให้คำตอบเป็นแนวทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นการอำนวยให้กับประชาชน ที่มีปัญหาด้านภาษีอากร และ ต้องการคำตอบเพื่อให้สามารถเสียภาษีได้ถูกต้อง ลดปัญหาข้อขัดแย้งทางภาษี
"ถือเป็นครั้งแรกที่กรมฯจะนำเอกสารทางภาษีต่างๆของกรมมาสแกนเป็นดิจิทัลรวมไว้ในที่เดียว เพื่อให้สามารถค้นหาได้ง่าย ผ่าน Chat GPT ไม่ว่าจะเป็นประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นกฎหมายภาษีหลักของกรมสรรพากร คำพิพากษาของศาลภาษีในเรื่องต่างๆ รวมถึงข้อหารือที่มีคนถามเข้ามายังกรมสรรพากร"
ทั้งนี้ Microsoft หนึ่งในบริษัทที่ร่วมลงทุนสร้าง Chat GPT ซึ่งเป็นระบบการวิเคราะห์ข้อความดิจิทัลจำนวนมหาศาล ทั้งในหนังสือ บทความ Wikipedia โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และข้อมูลบันทึกการสนทนา ต้องใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยวิเคราะห์ Chat GPT App เปิดตัวช่วงปลายเดือนพ.ย.2565 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เนื่องจาก ChatGPT ถูกพัฒนาให้จดจำข้อความจากอินเทอร์เน็ต สำหรับตอบคำถามและแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้งานได้ทุกข้อสงสัย ภายใต้การตอบกลับที่เป็นธรรมชาติ คล้ายกับมนุษย์ เรียกได้ว่า สามารถทำงานได้อย่างชาญฉลาด
โดย ChatGPT ย่อมาจากคำว่า "Chat" และ "Generative Pre-training Transformer" หรือก็คือ โมเดลภาษาที่ถูกเขียนขึ้น เพื่อให้สามารถใช้งานและตอบโจทย์กับทุกคำถามหรือข้อสงสัยได้อย่างครอบคลุมเช่น การให้ข้อมูล สูตรอาหาร แก้โจทย์คณิตศาสตร์ เขียนโค้ด เขียนโปรแกรมเบื้องต้น แต่งเพลง จัดทริปการเล่นมุกตลก
ในขณะเดียวกัน กรมสรรพากร ก็สร้าง Digital Tax Road Map เป็นเป้าหมายในการนำผู้เสียภาษีของกรมสรรพากร ที่มีมากกว่า 10 ล้านราย เข้าสู่ระบบภาษีแบบดิจิทัล โดยในปีนี้กรมจะให้บริการ Service Provider ที่ผู้เสียภาษีสามารถนำส่งใบกำกับภาษีของผู้เสียภาษี ให้กับกรมทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้ง เก็บรักษาใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แทนผู้เสียภาษี
ปี 2567 จะเพิ่มหน้าที่ให้ Service Provider เป็นผู้ยื่นภาษีแทนผู้เสียภาษีได้เลย ปี 2568 ผู้ประกอบการรายใหญ่จะต้องนำส่งรายงานภาษีซื้อ และภาษีขาย และจัดทำใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ปี2570 ผู้ประกอบการรายใหญ่จะต้องยื่นแบบชำระภาษีเป็นอิเล็กทรอนิกส์ 2571 ผู้ประกอบการทุกรายในประเทศจะต้องยื่นภาษีด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับการจัดเก็บภาษีประจำปีงบประมาณ 2566 คาดว่ารัฐบาลจะมีรายได้สุทธิรวม 2.49 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร61.3 % ,ของกรมสรรพสามิต 22.7 % และของกรมศุลกากร 3.9 % ที่เหลือเป็นเป็นการจัดเก็บของหน่วยงานอื่นๆ ,สำหรับในช่วง 8เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.2565 ถึง พ.ค.2566) กรมสรรพากรยังสามารถจัดเก็บภาษีได้เกินกว่าเป้าหมาย โดยจัดเก็บได้ 1.304 ล้านล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 1.34 แสนล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าหมาย 11.5 %