
นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ติดตามสถานการณ์ การส่งออกสินค้าของไทย ไปยังกลุ่มประเทศคู่ค้าที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) 18 ประเทศ พบว่า ในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค. 2566) มีมูลค่า 41,216 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกมีสภาวะถดถอย ทำให้การส่งออกชะลอตัวเล็กน้อย
แต่หากพิจารณา การส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูปไปกลุ่มประเทศคู่ FTA พบว่ายังขยายตัวได้ดี ซึ่งมีอัตราการขยายตัวสูงกว่า การส่งออกไปประเทศที่ไทยไม่มี FTA โดยสินค้าเกษตรส่งออกไปประเทศคู่ FTA มูลค่า 4,106 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3% คิดเป็นสัดส่วน 69.7% ของการส่งออกสินค้าเกษตร
สำหรับสินค้าเกษตรแปรรูปส่งออกไปประเทศคู่ FTA มูลค่า 4,162 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.4% คิดเป็นสัดส่วน 70% ของการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปทั้งหมด ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าเกษตรไปกลุ่มประเทศที่ไทยไม่มี FTA ลดลง 6% และการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปไปกลุ่มประเทศที่ไทยไม่มี FTA เพิ่มขึ้น 6%
แนวโน้มการส่งออก กลุ่มสินค้าเกษตร และ อาหารของไทยในอนาคต มีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันจีนได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกเติบโต อีกทั้งยังเป็นสินค้าที่มีศักยภาพในการผลิต และเป็นที่ต้องการของตลาด
ดังนั้น ผู้ประกอบการควรใช้ประโยชน์จาก FTA ส่งออกอย่างเต็มที่ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนายกระดับสินค้าให้มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล สอดคล้องกับกระแสการรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างจุดเด่นให้กับสินค้า และแสวงหาตลาดศักยภาพใหม่ๆ เพื่อเป็นโอกาสทางธุรกิจ
สำหรับสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปที่ส่งออกไปกลุ่มประเทศคู่ค้า FTA ขยายตัวได้ดี อาทิ
ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตร อันดับที่ 1 ของอาเซียน และเป็นอันดับที่ 9 ของโลก และผู้ส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป อันดับที่ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับที่ 9 ของโลก โดยในปีนี้ กรมมีแผนจะเร่งเดินหน้าเจรจา FTA กับคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ สหภาพยุโรป (EU) เอฟตา (EFTA) แคนาดา ตุรกี ศรีลังกา และปากีสถาน รวมทั้งจะเปิดเจรจากับคู่ค้าใหม่ ได้แก่ กลุ่มอ่าวอาหรับ (GCC) กลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก และกลุ่มประเทศแอฟริกา เพื่อเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการส่งออกของไทยในอนาคต