svasdssvasds
เนชั่นทีวี

วันนี้ในอดีต

ย้อนต้นกำเนิด "เทียนพรรษา" มีที่มาอย่างไร ก่อนกลายมาเป็นขบวนแห่สุดอลังการ

11 กรกฎาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ย้อนต้นกำเนิด "เทียนพรรษา" ช่วงวัน "เข้าพรรษา" ตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีที่มาอย่างไร ก่อนจะกลายมาเป็นขบวนแห่สุดอลังการตามสมัยนิยม

เนื่องในวันที่ 14 กรกฎาคม 2565 เป็น "วันเข้าพรรษา" หนึ่งในกิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนทำกัน นอกจากจะเข้าวัดทำบุญตักบาตรตามปกติแล้ว ชาวบ้านมักนิยมนำเทียนไปถวายพระสงฆ์ เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้ จึงหล่อเทียนให้มีเล่มใหญ่กว่าปกติ หรือเรียกว่า "เทียนพรรษา" เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่พระท่านจำพรรษาอยู่ที่วัด 

 

ปัจจุบันมีการจัดขบวนแห่เทียนพรรษาพร้อมประกวดเทียนกันอย่างเอิกเกริกก่อนนำไปถวายพระที่วัด จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น เช่น ขบวนแห่เทียนจังหวัดอุบลราชธานี ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งปีนี้ก็ได้จัดขึ้นในหลายจังหวัด และเชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวแห่ไปร่วมงานอย่างคับคั่งเนื่องจากเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง 5 วัน

 

ดังนั้น เพื่อเป็นการชม ขบวนแห่เทียนพรรษา ให้ครบอรรถรส ทีมข่าวเนชั่นออนไลน์จะขอนำประวัติ และต้นกำเนิดของเทียนพรรษามาเล่าสู่กันฟัง มีที่มาที่ไปอย่างไร และปีนี้มีที่ไหนจัดงานใหญ่ๆกันบ้าง

 

ย้อนต้นกำเนิด \"เทียนพรรษา\" มีที่มาอย่างไร ก่อนกลายมาเป็นขบวนแห่สุดอลังการ

กำเนิดเทียนพรรษา

 

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นับถือวัวเพราะถือว่า วัวเป็นพาหนะของพระอิศวร เมื่อวัวตาย จะเอาไขจากวัวมาทำเป็นน้ำมันเพื่อจุดบูชาพระผู้เป็นเจ้าที่ตนเคารพ แต่ชาวพุทธซึ่งนับถือศาสนาพุทธจะทำเทียนเพื่อจุดบูชาพระรัตนตรัย โดยการเอารังผึ้งร้างมาต้มเอาขี้ผึ้ง แล้วฟั่นเป็นเทียนเล่มเล็ก ๆ มีความยาวตามต้องการ เช่น ยาวเป็นคืบ หรือเป็น ศอกแล้วใช้จุดบูชาพระ เทียนพรรษา เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ชาวพุทธจะยึดถือเป็นประเพณีนำเทียนไป ถวายพระภิกษุในเทศกาลเข้าพรรษา เพื่อปรารถนาให้ตนเองเป็นผู้เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ ประดุจ แสงสว่างของดวงเทียน

 

เทียนพรรษา

 

เทียนพรรษา คือ เทียนขนาดใหญ่และยาวเป็นพิเศษกว่าเทียนชนิดอื่น ใช้สำหรับจุดในโบสถ์ตั้งแต่วันเข้าพรรษาจนถึงวันออกพรรษา

 

วิวัฒนาการเทียนพรรษา

 

การทำเทียนพรรษา มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ จากการนำรังผึ้งมาต้มเอาขี้ผึ้งไปฟั่น เป็นเทียนนำไปถวายพระภิกษุ เอาเทียนเล่มเล็ก ๆ หลาย ๆ เล่ม มามัดรวมกันเป็นลำต้นคล้ายกับ ต้นกล้วย หรือลำไม้ไผ่ แล้วนำไปติดกับฐาน ซึ่งการมัดรวมกันแบบนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่นิยมเรียกว่า ต้นเทียน หรือต้นเทียนพรรษา

 

ต้นเทียนพรรษาประเภทแรก คือ "มัดรวมติดลาย" เป็นการเอาเทียนเล่มเล็ก ๆ มามัด รวมกันบนแกนไม้ไผ่ให้เป็นต้นเทียนขนาดใหญ่ แล้วตัดกระดาษเงิน กระดาษทองเป็นลายต่าง ๆ ติดประดับโดยรอบต้นเทียน ต่อมามีการคิดทำต้นเทียนเป็นต้นเดี่ยว เพื่อใช้จุดให้ได้นาน โดยการใช้ลำไม้ไผ่ที่ทะลุปล้องเป็นแบบหล่อ เมื่อหล่อเทียนเป็นต้นเสร็จแล้วจึงนำมาติดที่ฐาน และจัดขบวนแห่เทียนไปถวายพระที่วัด

ย้อนต้นกำเนิด \"เทียนพรรษา\" มีที่มาอย่างไร ก่อนกลายมาเป็นขบวนแห่สุดอลังการ

 

การตกแต่งต้นเทียน

 

เริ่มมีขึ้นโดยภูมิปัญญาชาวบ้าน ใช้ขี้ผึ้งลนไฟหรือตากแดดให้อ่อน แล้วปั้นเป็นรูปดอกลำดวนติดต้นเทียน หรือเอาขี้ผึ้งไปต้มให้ละลาย แล้วใช้ผลมะละกอ หรือผลฟักทองนำมาแกะเป็นลวดลาย ใช้ไม้เสียบนำไปจุ่มในน้ำขี้ผึ้ง แล้วนำไปจุ่มในน้ำเย็น แกะขี้ผึ้งออก จากแบบ ตัดและตกแต่งให้สวยงามนำไปติดที่ต้นเทียน

 

พ.ศ. 2482 มีช่างทองชื่อ นายโพธิ์ ส่งศรี เริ่มทำลายไทยไปประดับบนเทียน โดยมีการทำแบบพิมพ์ลงในแผ่นปูนซีเมนต์ซึ่งถือว่าเป็นแบบพิมพ์ หรือแม่พิมพ์ แล้วเอาขี้ผึ้งที่อ่อนตัว ไปกดลงบนแม่พิมพ์จะได้ขี้ผึ้งเป็นลายไทย นำไปติดกับลำต้นเทียน

 

ต่อมา นายสวน คูณผล ได้คิดทำลายให้นูนและสลับสี จนเห็นได้ชัด เมื่อส่งเทียนเข้า ประกวดจึงได้รับรางวัลชนะเลิศ และในปี พ.ศ. 2497 นายประดับ ก้อนแก้ว คิดประดิษฐ์ทำหุ่นเป็น เรื่องราวพุทธประวัติ และเอาลวดลายขี้ผึ้งติดเข้าไปที่หุ่น ทำให้มีลักษณะแปลกออกไป จึงทำให้ เทียนพรรษาได้รับรางวัลชนะเลิศ และชนะเลิศมาทุกปี ในเทียนพรรษาประเภทติดพิมพ์

 

ปี พ.ศ. 2502 มีช่างแกะสลักลงในเทียนพรรษาคนแรก คือ นายคำหมา แสงงาม และ คณะกรรมการตัดสินให้ชนะการประกวด ทำให้เกิดการประท้วงคณะกรรมการตัดสิน ทำให้ในปี ต่อๆ มามีการแยกประเภทต้นเทียนออกเป็น 2 ประเภทชัดเจนคือ

 

1. ประเภทติดพิมพ์ (ตามแบบเดิม)

2. ประเภทแกะสลัก

 

การทำเทียนพรรษามีวิวัฒนาการเรื่อยมาไม่หยุดนิ่ง ในปี พ.ศ. 2511 ผู้คนได้พบเห็น ต้นเทียนพรรษาขนาดใหญ่และสูงขึ้น มีการแกะสลักลวดลายในส่วนลำต้นอย่างวิจิตรพิสดาร ในส่วนฐานก็มีการสร้างหุ่นแสดงเรื่องราวทางศาสนา และความเป็นไปในสังคมขณะนั้น กลายเป็นประติมากรรมเทียนพรรษาที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งช่างผู้ริเริ่มในการทำต้นเทียนยุคหลังคือ นายอุตส่าห์ และ นายสมัย จันทรวิจิตร สองพี่น้อง นับเป็นงานสร้างสรรค์ทางศิลปะอันเกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน อย่างแท้จริง

 

ย้อนต้นกำเนิด \"เทียนพรรษา\" มีที่มาอย่างไร ก่อนกลายมาเป็นขบวนแห่สุดอลังการ

 

งานประเพณีแห่เทียนพรรษา

 

ประเพณีแห่เทียนพรรษานั้น เนื่องจากสมัยก่อนพระภิกษุสงฆ์ไม่มีไฟฟ้าใช้ ชาวบ้านจึงหล่อเทียนต้นใหญ่ขึ้น เพื่อถวายพระภิกษุสงฆ์จุดให้แสงสว่างในการปฏิบัติกิจวัตรต่างๆ เป็นพุทธบูชาตลอดเวลา 3 เดือน การนำเทียนไปถวายชาวบ้านมักจัดขบวนแห่กันอย่างเอิกเกริกสนุกสนานและปฏิบัติสืบทอดกันมาจนกลายเป็นประเพณี

 

งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นงานประเพณีที่รวมความผูกพันของชุมชนท้องถิ่น โดยเริ่มตั้งแต่การที่ชาวบ้านร่วมบริจาคเทียนเอามาหลอม หล่อเป็นเทียนเล่มใหญ่เล่มเดียวกัน เป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีกลมเกลียวในหมู่คณะไปในตัว การสรรหาภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่มีฝีมือทางช่าง มีความรู้ ความชำนาญในเรื่อง การทำลวดลายไทย การแกะสลักลวดลายลงบน ต้นเทียน การทำเทียนให้เป็นลายไทย แล้วนำไปติดบนต้นเทียน การประดับด้วยผ้าฝ้าย ผ้าไหม ดอกไม้สด ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของช่างในท้องถิ่น ส่วนการจัดขวนแห่ก็ล้วนแต่ใช้ของพื้นเมือง เช่น เครื่องแต่งกายขอขบวนฟ้อน จะใช้ผ้าพื้นเมืองเป็นหลัก การฟ้อนรำจะใช้ท่ารำที่ดัดแปลงมาจาก วิถีชีวิต การทำมาหากินของชาวบ้าน เป็นท่ารำในรูปแบบของศิลปะที่งดงาม ดนตรีประกอบก็เป็น เครื่องดนตรีประจำถิ่น ผสมเข้ากับการขับร้องที่สนุกสนานเร้าใจ ทำให้งานประเพณีนี้ยิ่งใหญ่ ประชาชนต่างเฝ้ารอคอย

 

ศิลปะการฟ้อนรำที่นิยมนำมาประกอบการแสดงในขบวนแห่ คือ การรำเซิ้งต่างๆ เช่น เซิ้งกระลอ เซิ้งกระติบ เซิ้งสวิง เซิ้งแหย่ไข่มดแดง ซึ่งดัดแปลงมาจากการประกอบอาชีพในวิถีชีวิต ประจำวันทั้งสิ้น

 

งานแห่เทียนพรรษา เป็นงานที่ทำให้คนวัยรุ่น หนุ่มสาว ได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดและสัมผัส กับศิลปวัฒนธรรมอย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่การเข้าเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือ เป็นลูกมือช่างของทางวัด ในการแกะสลักทำลวดลายต้นเทียน ค้นคว้าหาวิธีการทำเพียรพรรษาให้วิจิตรพิศดาร งดงาม แต่ประหยัดการเข้าร่วมในขบวนแห่จะเป็นการผสมผสานระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ เช่น การเล่นดนตรีพื้นบ้าน โปงลาง หรือเป่าแคน จะมีทั้งผู้สูงอายุและคนหนุ่มสาว ส่วนขบวนฟ้อนรำ จะใช้เด็กๆ รุ่นเยาว์ ถึงวัยหนุ่มสาวมากกว่าคนสูงวัย ซึ่งคาดหวังได้ว่า ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น จะสืบทอดต่อไปอีกยาวไกล

 

สำหรับงานแห่เทียนพรรษาที่มีชื่อเสียง ปีนี้จัดขึ้นในหลายจังหวัด ซึ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป อาทิ  

 

ย้อนต้นกำเนิด \"เทียนพรรษา\" มีที่มาอย่างไร ก่อนกลายมาเป็นขบวนแห่สุดอลังการ

 

จังหวัดอุบลราชธานี

 

วันที่ 14 กรกฎาคม 2565 เวลา 08.00 น. พิธีอัญเชิญเทียนพรรษาพระราชทานและผ้าอาบน้ำฝนพระราชทาน พิธีทอดถวายเทียนพรรษาพระราชทาน และผ้าอาบน้ำฝนพระราชทาน 

พิธีมอบ รางวัลการประกวดต้นเทียนพรรษา ณ บริเวณปะรำพิธีหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม

 

ขบวนแห่ เคลื่อนจากหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม ตั้งแต่ถนนอุปราชบริเวณหน้าปะรำพิธี ไปทางถนนชยางกูร จนถึงสี่แยกเอสโซ่ ระยะทาง 1.3 กิโลเมตร

 

ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม ประกอบแสง เสียง ภาคกลางคืน (ลูกอีสาน) จุดที่ 1 บริเวณหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม จุดที่ 2 บริเวณหน้าลานขวัญเมือง (ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีหลังเก่า)

 

วันที่ 14-17 กรฏาคม 2565 มีการจัดแสดง ต้นเทียนพรรษา ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ รองชนะเลิศอันดับ 1, 2 ณ บริเวณทุ่งศรีเมือง

 

สอบถามได้ที่ ททท.สำนักงานอุบลราชธานี โทร 045-243-770-1 หรือ สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด โทร 045-344-853-4

 

ย้อนต้นกำเนิด \"เทียนพรรษา\" มีที่มาอย่างไร ก่อนกลายมาเป็นขบวนแห่สุดอลังการ

 

จังหวัดนครราชสีมา

 

เนื่องจากสถานการณ์โควิดทำให้ต้องงดจัดงานไปสองปี (2563-2564) เพื่อสืบสานประเพณีแห่เทียนพรรษา และส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ในปีนี้จึงได้จัดงานขึ้นอีกครั้งในวันที่ 13-14 กรกฎาคม 2565 ณ ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา กำหนดการ มีดังนี้

 

วันที่ 13 กรกฎาคม 2565 ขบวนต้นเทียนพรรษาจากวัดต่าง ๆ เข้าร่วมขบวนแห่

วันที่ 14 กรกฎาคม 2565 เวลา 15:00 น. ชม ขบวนแห่เทียนพรรษา ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

 

ชมการประกวดต้นเทียนพรรษา, การประกวดขบวนแห่, การประกวดวาดภาพระบายสี, การแกะสลักเทียนพรรษา, พิธีเวียนเทียน สักการะพระบรมสารีริกธาตุ 

 

ชมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน การแสดงเพลงโคราช (วงกำปั่นบ้านแท่น) การแสดงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนเทศบาล 4

 

การแสดงวงออเคสตรา ISAN ORCHESTRA เพลงลูกทุ่ง เพลงลูกกุรง เพลงรำวง จำหน่ายอาหาร ของดี ของฝาก OTOP ของขึ้นชื่อเมืองโคราช

 

สอบถามได้ที่ สวท.นครราชสีมา กรมประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์ 044-465-400 หรือ เทศบาลตำบลพิมาย โทรศัพท์ 044-471-121

 

 

 

ขอบคุณภาพ Khobjaithailand

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

 

คลองลาดชะโด อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นคลองสาขาที่แยกออกมาจากแม่น้ำน้อย ชุมชนชาวบ้านได้จัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำมาเป็นเวลานาน เป็นประเพณีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา มีการแห่เทียนพรรษาทางเรือ ในเส้นทางไปกลับ 3 กิโลเมตร

 

ขบวนแห่ประกอบไปด้วย เรือของชาวบ้าน ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ที่นำวัสดุธรรมชาติ ดอกไม้ ผัก ผลไม้ มาตกแต่งให้มีสีสันสวยงาม

 

เมื่อเคลื่อนขบวนไปก็จะร้องรำบทเพลงพื้นบ้าน เป็นขบวนแห่เทียนเข้าพรรษาทางน้ำที่เป็นเรือเล็กเรือน้อย หาชมได้ยาก ในปัจจุบัน

 

นอกจากชม ขบวนเรือแห่เทียนพรรษาทางน้ำ แล้วยังได้ชมวิถีชีวิตริมฝั่งคลอง สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น เส้นทางสายน้ำ การยกยอ ทุ่งนาเขียวขจี เที่ยวตลาดย้อนยุค ชิมอาหารพื้นบ้าน

 

จัดขึ้นวันที่ 13 กรกฎาคม 2565 (วันอาสาฬหบูชา) ตั้งแต่เวลา 08.30-13.00 น. ณ คลองลาดชะโด อำเภอผักไห่

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กำหนดการ มีดังนี้

 

ขอบคุณภาพ Khobjaithailand

 

เวลา 08.30-10.30 น. เรือทุกลำลงทะเบียนบริเวณด้านหน้า ตลาดลาดชะโด

เวลา 10.39 น. พิธีเปิดงาน เรือทุกลำเคลื่อนผ่านชุมชนริมสองฝั่งคลอง ผ่านสะพาน 3-2-1 นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายรูปได้บนสะพานทั้งสามแห่ง

 

จากนั้นขบวนเรือจะย้อนกลับมาอีกครั้งเวลาประมาณ 11.30 น. ผ่านสะพาน 1-2-3 แล้วไปจอดที่หน้า โรงเรียนวัดลาดชะโด เพื่อนำเทียนไปถวาย วัดลาดชะโด

 

จบจากขบวนแห่แล้ว นักท่องเที่ยวสามารถชิม ช้อป อาหารพื้นบ้านได้ที่ ตลาดลาดชะโด สัมผัสวิถีชีวิตชุมชนในอดีต

 

สอบถามได้ที่ เพจ งานแห่เทียนพรรษาทางน้ำที่ลาดชะโด หรือ เทศบาลตำบลลาดชะโด 053 740 263

 

 

ย้อนต้นกำเนิด \"เทียนพรรษา\" มีที่มาอย่างไร ก่อนกลายมาเป็นขบวนแห่สุดอลังการ

มหกรรมแห่เทียนพรรษาบนหลังช้าง จังหวัดสุรินทร์

 

งานประจำปีที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสุรินทร์ มีการจัดงานสองวันคือ วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา เพื่อสืบทอดประเพณีศิลปวัฒนธรรมอันดีงามให้คงอยู่ต่อไป

 

ในงานจะมี ขบวนแห่เทียน ที่ตกแต่งอย่างอลังการ ขบวนฟ้อนรำ ขบวนแห่งช้าง ที่ยิ่งใหญ่ มีขบวนช้างประดับไฟ ขบวนช้างเทิดพระเกียรติ ขบวนช้างพระเถระชั้นผู้ใหญ่

 

ขบวนอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานบนหลังช้าง, พิธีปฏิบัติธรรมและเจริญสมาธิภาวนา, การประกวดสวดมนต์หมู่ทำนองสรภัญญะ, การประกวดโต๊ะหมู่บูชา, พิธีทำบุญตักบาตรบนหลังช้าง

 

จัดขึ้นในวันที่ 12-13 กรกฎาคม 2565 หน้าศาลากลางจังหวัด และบริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดี อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ กำหนดการ มีดังนี้

 

วันที่ 12 กรกฎาคม 2565 เวลา 17:00 น. ชมขบวนแห่ช้างและขบวนเทียน

วันที่ 13 กรกฎาคม 2565 เวลา 06:30 น. ตักบาตรบนหลังช้าง แห่งเดียวในโลก

 

สอบถามได้ที่ ททท.สำนักงานสุรินทร์ โทร 044-514-447-8, 082-486-2014

 

logoline