
31 ธันวาคม 2568 ฐานเศรษฐกิจ ได้รายงานข่าวว่า บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงการซื้อขายหุ้นในนิติบุคคล คือ บริษัท ชนัตถ์ และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)
ทั้งนี้ “ชนินทธ์ โทณวณิก” รักษาการประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ดุสิตธานี ได้เข้าซื้อหุ้นใน บริษัท ชนัตถ์ และลูก จำกัด ในจำนวน 1.2 ล้านหุ้น สัดส่วน 15.96% จาก “สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค“ ส่งผลให้ นายชนินทธ์ ถือหุ้นในบริษัทชนัตถ์และลูกเพิ่มเป็น 41.36%
ขณะที่ โครงสร้างการถือหุ้นในดุสิตธานี ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยชนินทธ์ ถือหุ้นอยู่ที่ 5.26 แสนหุ้น สัดส่วน 0.0618% ส่วน บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ถือหุ้น 422 ล้านหุ้น สัดส่วน 49.7436% รวมเป็น 49.8055%
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเกิดปมขัดแย้งระหว่างทายาทของ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ระหว่าง 2 ฝั่ง คือ ฝั่งของนายชนินทธ์ โทณวณิก ทายาทคนโต และ 2 น้องสาว คือ นางสินี เธียรประสิทธิ์ (ลูกสาวคนโต) และ นางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (ลูกสาวคนเล็ก)
เมื่อ 2 น้องสาวนายชนินทธิ์ ได้รวมตัวถอดถอน “ชนินทธ์ โทณวณิก” ออกจากกรรมการ“บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ดุสิตธานี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 และพยายาม บีบให้นายชนินทธ์ พ้นอำนาจในบริษัทดุสิตธานี
โดยโครงสร้างของบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ในช่วงนั้น ถือหุ้นใหญ่ในดุสิตธานี 49.47% รวม 422 ล้านหุ้น เมื่อ 2 น้องสาว ในฐานะผู้ถือหุ้นบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด มีเสียงรวมกันสูงกว่านายชนินทธ์ โดยกลุ่มของนายชนินทธ์ ถือหุ้น 25.4% กลุ่มนางสินี ถือหุ้น 26.57% กลุ่มนางสุนงค์ ถือหุ้น 21.62% และท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย (กองมรดก) ถือหุ้น 24.99%
ขณะที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ในบมจ.ดุสิตธานี อยู่ที่ 17.09% ก็เป็นที่น่าจับตาดูถึงสายสัมพันธ์ที่ดีกับ 2 น้องสาว รวมถึงความพยายามส่งตัวแทนมานั่งเป็นบอร์ดดุสิตธานี
การที่ 2 นางสาวนายชนินทธ์ สั่งให้ดุสิตธานีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 ที่มีวาระถอดถอน 'ชนินทธ์ โทณวณิก' ออกจากกรรมการบมจ.ดุสิตธานี แม้จะมีผู้ถือหุ้นเห็นด้วยให้ถอดถอน 42 ราย (รวมถึงบริษัทชนัตถ์และลูก) คิดเป็น 79.61% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดก็ตาม
แต่ก็ไม่สามารถโค่นนายชนินทธ์ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นบริษัท ชนัตถ์และลูก พ้นบอร์ดดุสิตธานีนี้ เหมือนตอนที่ 2 น้องสาวของนายชนินทธ์ รวมเสียงโหวตนายชนินทธ์ ออกจากกรรมการบริษัทชนัตถ์และลูก เมื่อช่วงก่อนหน้านี้ได้สำเร็จ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะตามพ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด กำหนดให้การ “ถอดถอนกรรมการ” ต้องใช้เสียง ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมและมีสิทธิออกเสียง ซึ่งการประชุมผู้ถือหุ้นในวันดังกล่าว มีจำนวนรายของผู้ถือหุ้นที่เข้าร่วมประชุมที่ไม่เห็นด้วยกับการถอดถอนนายชนินทธ์ สูงถึง 420 ราย คิดเป็น 89.9565% ของจำนวนผู้เข้าประชุมทั้งหมด ทำให้มติดังกล่าวไม่ได้รับการอนุมัติ รวมถึงการเพิ่มจำนวนกรรมการ การแต่งตั้งกรรมการใหม่ และการเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ ที่ยังไม่ทันได้มีการโหวต
อีกทั้งที่ผ่านมา มีผู้ถือหุ้นรายย่อยยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ถึงการกระทำที่อาจเข้าข่ายร่วมกับบุคคลอื่นเพื่อครอบงำกิจการของบริษัทฯ โดยไม่ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของกิจการ และอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำการรวมธุรกิจอันอาจก่อให้เกิดการผูกขาดหรือการเป็นผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
ทำให้ดุสิตธานีเลื่อนการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น โดยจะจัดการประชุมอีกครั้งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2569 เนื่องจากยังมีประเด็นที่ต้องใช้ความระมัดระวังและพิจารณาอย่างรอบคอบ ดังนั้น เพื่อความโปร่งใสและเพื่อให้การพิจารณาวาระการประชุมเป็นไปอย่างรอบคอบ รวมถึงเพื่อเป็นการปกป้องสิทธิของผู้ถือหุ้นทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน จึงต้องการรอการพิจารณาของ 2 หน่วยงานที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยร้องเรียนก่อน
กระทั่งล่าสุดนายชนินทธ์สามารถเจรจาซื้อหุ้นบางส่วนจากนางสุนงค์ได้สำเร็จส่งผลให้ นายชนินทธ์ ถือหุ้นในบริษัทชนัตถ์และลูกเพิ่มเป็น 41.36% จึงถือว่าเป็นการยุติศึกสายเลือดก่อนหน้านี้ เพราะนายชนินทธ์ จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทชนัตถ์และลูก และที่ผ่านหุ้นของบริษัทชนัตถ์และลูก ท่านผู้หญิงชนัตถ์ระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามขายให้คนนอก
"ดุสิตธานี" ก่อตั้งโดย ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมโรงแรมไทยสู่เวทีโลก และได้รับการยกย่องว่าเป็น "ตำนานผู้สร้าง" ของธุรกิจบริการไทย แต่หลังการจากไปของผู้ก่อตั้ง การส่งต่ออำนาจและทรัพย์สินกลับกลายเป็นชนวนความขัดแย้ง เมื่อทายาทหลายสายมีมุมมองแตกต่างกันต่อการบริหารและอนาคตขององค์กร
ภาพและข้อมูลจาก ฐานเศรษฐกิจ