เวลาของประเทศไทยเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ เพราะในวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 นี้ จะครบ 10 ปีของการรัฐประหารโดยฝีมือของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พอดิบพอดี ซึ่งปัจจุบันก็อย่างที่ทราบกันดีว่าเวลานี้พลเอกประยุทธ์ หรือที่มิตรรักแฟนเพลงชอบเรียกว่า ‘ลุงตู่’ ได้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง ภายหลังดำรงตำแหน่งเป็นองคมนตรี
ย้อนกลับไปเมื่อก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ณ ช่วงเวลานั้น เหตุการณ์บ้านเมืองเกิดความสับสนเป็นอย่างมาก แม้จะไม่ถึงเป็นรัฐที่ล้มเหลวแต่การใช้กฎหมายเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆด้วยความสันติไม่กระทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกตั้งใหม่ แต่สิ่งที่ได้กลับมา คือ ขบวนการขัดขวางไม่ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้การเลือกตั้งในปี 2557 กลายเป็นโมฆะ ทุกอย่างดูจะติดล็อกไปหมด เนื่องจากเงื่อนไขหลักและเงื่อนไขเดียวที่กลุ่มกปปส. ต้องการ คือ ‘การปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง’
การผุดวาทกรรมนี้ออกมา แม้แกนนำที่เป่านกหวีดไล่ ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ จะบอกว่าไม่ได้เป็นการส่งบัตรเชิญให้กองทัพเข็นรถถังออกมารัฐประหาร แต่ก็เหมือนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ เพราะจะปฏิรูปก่อนเลือกตั้งได้อย่างไรในเมื่อสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบไปแล้ว เหลือแต่วุฒิสภาเพียงสภาเดียว อีกทั้งรัฐบาลที่ทำหน้าที่อยู่ก็เป็นแค่รัฐบาลรักษาการเท่านั้น
การปฏิรูปประเทศจะเกิดขึ้นก็ต้องอาศัยการขับเคลื่อนไปพร้อมกันระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ แต่เหมือนรัฐบาลและสภาต่างง่อยเปลี้ยเสียขากันทั้งคู่ แบบนี้การปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้งจะเป็นไปได้อย่างไร จึงไม่แปลกที่การผลิตซ้ำวาทกรรม ‘ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง’ ก็เท่ากับการเปิดประตูสู่รัฐประหาร ภายใต้ข้ออ้างที่สวยหรูอย่างการปฏิรูปประเทศแล้วค่อยคืนอำนาจให้กับประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
ในที่สุดการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งก็เกิดขึ้นจริงๆ โดยเริ่มคิกออฟในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 อันเป็นวันที่พลเอกประยุทธ์ ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาล และจากเสียงนกหวีดจากที่เคยเป็นการเป่าไล่นักการเมืองฝ่ายพรรคเพื่อไทย กลายมาเป็นเสียงนกหวีดต้อนรับการขึ้นสู่อำนาจของกลุ่มบุคคลที่เรียกตัวเองว่า ‘คณะรักษาความสงบแห่งชาติ’ หรือ คสช.
การปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งโดย คสช. นั้นได้ดำเนินการออกแบบผ่านกระบวนการที่มีชื่อเรียกอย่างกิ๊บเก๋ว่า ‘แม่น้ำ 5 สาย’ ประกอบด้วย 1) คสช.ในฐานะผู้กุมอำนาจสูงสุดและเป็นต้นน้ำของแม่น้ำของสายอื่นๆ 2) คณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร 3) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่ตรากฎหมาย 4) สภาปฏิรูปประเทศแห่งชาติ เป็นฝ่ายระดมสมองเพื่อทำข้อเสนอการปฏิรูปประเทศ และ 5) คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ รับผิดชอบการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นกติกาสูงสุดของประเทศ
ไม่เพียงเท่านี้ การปฏิรูปประเทศที่ คสช. คิดค้นขึ้นมานั้นก็มีความพยายามอุดช่องโหว่เพื่อป้องกันไม่ให้การรัฐประหารเสียของเหมือนกับการรัฐประหารเมื่อปี 2549 อีกด้วย จึงเป็นที่มาของการบัญญัติหลัก 10 ประการที่ควรไว้ในรัฐธรรมนูญ และ การให้ประเทศไทยอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้มีมรรคผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด โดยที่อย่างน้อยการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งก็น่าจะได้เสียงชื่นชมในจุดเดียวกับเมื่อครั้งประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ 2540
สำหรับบัญญัติ 10 ประการที่ว่านั้น ประกอบด้วย 1) การรับรองความเป็นราชอาณาจักร 2) การให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 3) การป้องกันการทุจริต 4) การป้องกันและตรวจสอบมิให้ผู้เคยต้องคําพิพากษาว่ากระทําการทุจริต หรือกระทําให้การเลือกตั้งไม่สุจริต เข้าดํารงตําแหน่งทางการเมือง 5) การทําให้ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองและพรรคการเมือง ปราศจากการครอบงํา 6) สร้างเสริมความเข้มแข็งของหลักนิติธรรม ในทุกภาคส่วนและทุกระดับ 7) ปรับโครงสร้างและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ และป้องกันการบริหารราชการแผ่นดินที่มุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง 8) กลไกที่มีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินของรัฐให้เป็นไปอย่างคุ้มค่าและตอบสนองต่อประโยชน์ส่วนรวม 9) การป้องกันมิให้มีการทําลายหลักการสําคัญที่รัฐธรรมนูญจะได้วางไว้ และ 10) การผลักดันให้มีการปฏิรูปเรื่องสําคัญต่าง ๆ ให้สมบูรณ์ต่อไป
หลักการที่ดีพร้อมกับกรอบกติกาที่ชัดเจน มิหนำซ้ำพลเอกประยุทธ์ ยังมีมาตรา 44 ที่สามารถเสกไม้เป็นนก และเสกนกให้เป็นไม้ได้อีก ยิ่งทำให้กองเชียร์ลุงตู่ต่างเชื่อมั่นว่าการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งจะประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะระบอบทักษิณจะหมดไปจากประเทศ แต่ปรากฏว่าเอาเข้าจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะนับตั้งแต่นั้นมาจากที่เคยขึ้นต้นเป็นไม้ไผ่ ยิ่งเหลาลงไปกลับกลายเป็นบ้องกัญชาเข้าไปทุกที สะท้อนให้เห็นจากกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ
การร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรกเกิดขึ้นภายใต้การดูแลของ ‘บวรศักดิ์ อุวรรณโณ’ แต่ก็กลายเป็นปราสาทที่ถูกน้ำทะเลซัดพังทลายลงมา ภายหลังสภาปฏิรูปแห่งชาติลงมติไม่เห็นชอบท่ามกลางคำถามที่เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งสุดท้ายก็มีเฉลยออกมาจากปากอาจารย์บวรศักดิ์เองว่า “เขาอยากอยู่ยาว” โดยคำว่า ‘เขา’ ที่อาจารย์บวรศักดิ์นั้นไม่ได้เจาะจงไปที่ใครบางคนเป็นการเฉพาะ แต่คนไทยก็ได้เห็นแล้วว่านับตั้งแต่นั้นมาเขาก็อยู่ยาวจริงๆ
ความพยายามอยู่ยาวก็เริ่มปรากฏให้เห็นผ่านการกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญครั้งที่สองภายใต้การกำกับของ ‘มีชัย ฤชุพันธุ์’ และยุบสภาปฏิรูปแห่งชาติพร้อมกับตั้ง ‘สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ’ หรือ สปท. ขึ้นมาทำงานซ้ำซ้อนโรดแมปที่ สปช. เคยทำเอาไว้ก่อนหน้านี้ กระบวนการเหล่านี้ใช้เวลาอีกร่วม 4 ปีก่อนที่จะมีการประกาศเลือกตั้งในปี 2562 อันเป็นการสิ้นการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง
ประเทศไทยหลังจากผ่านการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งได้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย ด้วยเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมือง 19 พรรคและ ส.ว. เกือบทั้งวุฒิสภาที่มีอำนาจโหวตนายกรัฐมนตรีตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ แม้จะเป็นอีกรัฐบาลหนึ่งที่อยู่ในอำนาจครบ 4 ปี แต่ตลอดระยะทางก็เต็มไปด้วยระบบการเมืองที่ถอยหลังลงคลองไม่ต่างกับการเมืองยุคก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญ 2540 เสียอีก มีใครพอเห็นผลงานเชิงโครงสร้างที่เป็นผลผลิตจากการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งที่ดีมีอะไรบ้าง กลับกันมีแต่เพียงมรดกที่เป็นสิ่งเหลือทิ้งทางประวัติศาสตร์เท่านั้นอย่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และวุฒิสภา 250 คนจากการลากตั้งของคสช.
ความล้มเหลวและความเสียของยิ่งมาตอกย้ำด้วยสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันที่เป็นเหมือนสามเส้าระหว่างฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ฝ่ายอนุรักษ์นิยม และฝ่ายอำนาจนิยม ความขัดแย้งที่มี ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เข้ามาเป็นหนึ่งในสมการนั้นกำลังจะนำถูกมาฉายซ้ำ หรือแม้แต่ความหวาดกลัวของบางฝ่ายที่มีต่อ ‘พรรคก้าวไกล’ ก็ถูกนำมามาเป็นวาทกรรมประหัตประหารใส่กันประหนึ่ง ‘ขวาพิฆาตซ้าย’
ด้วยเหตุนี้เองจึงเริ่มได้บรรดาผู้สันทัดกรณีจะเริ่มออกมาวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นมาอีกครั้ง แม้เงื่อนไขอาจไม่สุกงอม แต่ก็มีปัจจัยแวดล้อมที่สนับสนุนพอสมควร เช่น การเริ่มล้ำเส้นของฝ่ายผู้มีอำนาจอนุรักษ์นิยมใหม่ การเติบโตไม่หยุดของขบวนการฝ่ายส้มที่เขย่าความเชื่อแบบเดิมๆ ของคนในสังคมไทย ที่ทำให้บางฝ่ายมองว่าต้องหาวิธีการคุมกำเนิดไว้บ้าง การยุบพรรคที่เคยคิดว่าอาจได้ผล เวลานี้แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้ผลอีกต่อไป เหลือแต่เพียงการล้มกระดานเท่านั้นที่อาจเป็นคำตอบ
ผ่านมา 10 ปี ประเทศไทยได้ปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งจริง ข้อนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่ก็เหมือนเป็นการกลับไปสู่ปัญหาและวงจรเดิมที่ประเทศไทยเคยเผชิญมาแล้วตลอดสองทศวรรษเท่านั้น