
ในระยะ 4-5 ปีมานี้การทำให้การค้าบริการทางเพศถูกกฎหมายกลายเป็นเรื่องที่สังคมไทยพูดถึงบ่อยครั้ง ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อพฤษภาคม พ.ศ.2566 ที่ผ่านมาได้มีหลายพรรคกกรเมืองหาเสียงโดยจะใช้วิธีการนี้ แต่อย่างไรก็ดีโมเดลการกำกับดูแลไม่ได้มีเพียงการทำให้การค้ำบริการทางเพศถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายไปเลยแบบขาวกับดำเท่านั้น ยังมีโมเดลแบบอื่นที่นำการทำให้ถูกกฎหมายและการทำให้ผิดกฎหมายทั้งกับผู้ขายบริการและผู้ซื้อบริการเข้ามาบูรณาการทำงานร่วมกันอยู่
โมเดลในกำรควบคุมกำกับการค้าบริการทางเพศนั้นแบ่งออกเป็น 4 แบบ ได้แก่ Criminalization, Decriminalization,Legalization, Nordic Model
Criminalization (การทำให้ผิดกฎหมาย)
โมเดลแรกเป็นโมเดลที่ผู้อ่านมักคุ้นเคยกันดี เพราะประเทศไทยใช้โมเดลนี้มาตั้งแต่ พ.ศ.2539 ผ่านพรบ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี โดยผู้สนับสนุนโมเดลนี้มองว่าการค้าบริการทางเพศนั้นไม่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมและศาสนา อีกทั้งในทางปฏิบัติอุตสาหกรรมทางเพศมีความเกี่ยวข้องอย่างสูงกับอาชญากรรม ยาเสพติด ความรุนแรงต่างๆ และการฟอกเงิน การยอมรับอุตสาหกรรมทางเพศเท่ากับเป็นการยอมรับอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องด้วยโดยปริยาย การค้าบริการทางเพศยังเป็นการสอนให้เด็กผู้ชายยอมรับในค่านิยมว่าการใช้เงินซื้อบริการเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมีการสำรวจว่าผู้ชาย 1 ใน 3 ในสเปนเคยใช้เงินซื้อบริการทางเพศ และเป็นการสอนเด็กผู้หญิงว่าการขายบริการไม่ผิด และสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ
วิธีการของโมเดลนี้คือการทำให้ทั้งการซื้อบริการและการขายบริการผิดกฎหมาย การซื้อและการขายบริการต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งการเป็นนายหน้าจัดหาพนักงานบริการ การชักชวนผู้อื่นมาค้าบริการเพื่อแบ่งสรรกำไรมาให้ตนก็เป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศส่วนมากที่ใช้โมเดลนี้อีกด้วย
ประเทศส่วนใหญ่ในโลกใช้โมเดลนี้เป็นหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน รัสเซีย รวมถึงมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ อเมริกา มีเพียงบางเทศมณฑล (county) ในมลรัฐเนวาดาเท่านั้นที่การซื้อและขายบริการไม่ได้ผิดกฎหมาย เช่น เมือง Las Vegas
เป็นที่น่าสังเกตว่าการค้าประเวณีในประเทศไทยเพิ่งจะมาผิดกฎหมายไม่ถึง 30 ปีที่ผ่านมานี้เอง ทั้งที่ชื่อเสียงด้านการค้าบริการทางเพศของไทยน่าจะมีมาตั้งแต่สมัยยุคสงครามเย็นที่สหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพในไทย อย่างไรก็ดีรายงานจาก UN เมื่อ ค.ศ.2011 ประเมินว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้ค้าบริการมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
Legalization (ถูกกฎหมาย)
โมเดลการทำให้ถูกกฎหมายมองว่าการค้าบริการทางเพศเป็นสิทธิทางร่างกายของผู้ค้ำที่ผู้อื่นจะมาละเมิดมิได้ ผู้ขายบริการจึงควรมีสิทธิตามกฎหมายเพื่อแสดงสิทธิเหนือร่างกายของตน
อย่างไรก็ดี โมเดลนี้ในบางประเทศพนักงานบริการไม่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายคุ้มครองแรงงานเหมือนกับอาชีพอื่น แต่มีกฎหมายเฉพาะออกมาต่างหากสำหรับควบคุมแรงงานประเภทผู้ค้าบริการทางเพศ พนักงานบริการได้รับสิทธิการทำงานไม่เหมือนกับอำชีพอื่น จึงเกิดที่ถกเถียงอีกประเด็นว่าทำไมพนักงานบริการทางเพศถึงไม่เหมือนอาชีพอื่น
ประเทศที่โดดเด่นในการใช้โมเดลนี้ ได้แก่ เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ โดยเรามักจะเห็นย่านโคมแดงของกรุงอัมสเตอร์ดัมเป็นจุดหมายปลายทางโด่งดังแห่งหนึ่งของการค้าบริการ ส่วนซ่องโสเภณีถูกกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในเมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี มีพนักงานบริการ 120 คน ต้อนรับผู้ซื้อบริการ 1,000 คนต่อวัน
Decriminalization (การทำให้ไม่ผิดกฎหมาย)
โมเดลนี้ยกเลิกโทษทางกฎหมายโดยการยกเลิกกฎหมายที่ให้ทำให้การค้าหรือการซื้อบริการมีความผิด ในบางประเทศมีการออกกฎหมายเพื่อให้นายหน้าไม่ผิดกฎหมายอีกด้วย
โมเดลการทำให้ไม่ผิดกฎหมายต่างจากโมเดลทำให้ถูกกฎหมาย ตรงที่ผู้คนหรือรัฐอาจไม่ได้มีมุมมองสนับสนุนการค้าบริการทางเพศว่าเป็นเรื่องที่ไม่ผิดศีลธรรมหรือถูกต้องตามสิทธิเหนือร่างกายของตน โมเดลการทำให้ไม่ผิดกฎหมายจึงไม่สนับสนุนให้รัฐกำกับดูแลการค้าบริการ รวมถึงห้ามโฆษณา ตรงกันข้ามกับโมเดลถูกกฎหมายที่สนับสนุนการเปิดธุรกิจซ่องอย่า
ถูกกฎหมาย
อย่างไรก็ตามผู้คนอีกส่วนมองว่าการค้าบริการนั้นสามารถทำได้ หากเป็นการแสดงออกซึ่งสิทธิเหนือร่างกายของตน การค้าบริการก็เป็นอาชีพหนึ่งในสังคม แต่ในทางปฏิบัติแล้วมีผู้คนจำนวนมากได้เข้าสู่ตลาดการค้าบริการโดยการชักชวน แม้กระทั่งการถูกล่อลวงให้เข้ามาทำงาน แสดงให้เห็นถึงอำนาจที่ไม่เท่ากันในสังคม การซื้อขายบริการจึงสามารถทำได้หากเป็นการตกลงของคนสองคน ไม่ผ่านบุคคลที่ 3 เพราะไม่ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมของธุรกิจทางเพศ ซึ่งเป็นการเพิ่มความต้องการซื้อและความต้องการขาย โดยหากเทียบจำนวนพนักงานบริการในประเทศที่ใช้โมเดลถูกกฎหมายอย่างเนเธอแลนด์หรือเยอรมนีที่รัฐสนับสนุนอุตสาหกรรมทางเพศนั้น มีจำนวนพนักงานค้าบริการเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่เพียงแต่การค้าบนดินแต่ใต้ดินด้วยเช่นกัน หากเทียบจำนวนผู้ค้ำบริการระหว่างเนเธอร์แลนด์และสวีเดนแล้ว เนเธอร์แลนด์มีจำนวนผู้ค้าบริการต่อหัวมากกว่าสวีเดนที่ใช้คนละโมเดลถึง 9 เท่า และอาจมากถึง 30-40 เท่า หากเทียบเยอรมนีกับสวีเดน
โดยสรุปแล้วถึงแม้จะมีมุมมองทางศีลธรรมหรืออุดมการณ์หลากหลายในโมเดลนี้ แต่ในทางปฏิบัติคือการทำให้การซื้อขายไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากบุคคลที่สาม
ประเทศที่ใช้โมเดลนี้ได้แก่ อังกฤษ แอฟริกาใต้ อินเดีย โมเดลนี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนระดับโลกอย่าง Amnesty International เมื่อ ค.ศ.2015 อีกทั้งพนักงานบริการและสหภาพแรงงานจำนวนหนึ่งสนับสนุนโมเดลนี้ โดยประเทศที่ใช้โมเดลนี้ได้แก่ ออสเตรเลีย, เดนมาร์ก
Nordic Model
Nordic Model มองว่าผู้ค้าบริการทางเพศคือผู้ที่ไม่ได้รับโอกาสเท่ากับผู้อื่นในสังคม การทำให้การค้าบริการถูกกฎหมายจึงไม่ใช่วิธีกำรที่สนับสนุนเสรีภาพทางเพศของผู้หญิง หากได้รับโอกาสเท่ากับผู้อื่นก็คงไม่มาขายบริการทางเพศ อีกทั้งในประเด็นสิทธิในร่างกายของตน โมเดลนอร์ดิกมองว่าไม่ควรมีใครสำมารถใช้เงิน ‘ซื้อ’ สิทธิในการกระทำบางอย่างกับร่างกายของผู้อื่น
ได้เพียงเพราะเขามีเงินมากกว่าผู้อื่น โดยเฉพาะการซื้อบริการ
ด้วยเหตุเหล่านี้การขายบริการทางเพศย่อมไม่มีความผิด เพราะผู้ขายต้องการที่จะอยู่รอดและผู้ขายไม่ได้มีทางเลือกเท่ากับผู้อื่น อีกทั้งยังมองว่าการค้าบริการทำให้เกิดอันตรายต่อผู้หญิง ส่วนผู้ซื้อบริการนั้นเป็นผู้ที่มีโอกาสมากกว่าผู้อื่นแต่ใช้อภิสิทธิ์นั้นในการแสวงหาประโยชน์กับผู้ที่ไม่มีโอกาส ดังนั้นผู้ซื้อบริการจึงมีความผิด โมเดลนอร์ดิกจึงไม่เอาความผิดแก่ผู้ขายบริการ ผู้ขายบริการสำมารถขายอย่างไรก็ได้โดยไม่โดนจับ แต่เอาความผิดทางอาญากับเพียงผู้ซื้อบริการ และด้วยความที่ผู้ขายเป็นผู้ที่โอกาสน้อยกว่า รัฐจึงเสนอสวัสดิการให้แก่ผู้ขายในระยะยาวและช่วยหางานให้ เพื่อให้ผู้ขายสามารถออกจากตลาดการค้าบริการได้ในที่สุด โมเดลนอร์ดิกจึงเป็นการผสาน Criminalization กับผู้ซื้อ และ Decriminalization กับผู้ขาย
นอกจากเหตุผลทางศีลธรรมนั้น โมเดลแบบนอร์ดิกได้รับการยกย่องในแง่การปฏิบัตินิยม (practical) จากการพุ่งเป้าไปที่การกำจัดอุปสงค์หรือความต้องการในการซื้อ นั่นคือการลงโทษผู้ซื้อ แทนที่จะพุ่งเป้าไปที่ความต้องการในการขายเหมือนกับโมเดลอื่น โดยหากไม่มีผู้ซื้อก็จะไม่มีผู้ขาย
Nordic Model ได้เริ่มต้นใช้ครั้งแรกที่ประเทศสวีเดนเมื่อ ค.ศ.1999 จากนั้นหลายประเทศได้นำมาปรับใช้กับประเทศตัวเอง ซึ่งโดยส่วนมากเป็นกลุ่มประเทศที่ก้าวหน้า เช่น นอร์เวย์, ฝรั่งเศส, แคนาดา, อิสราเอล โดยพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งของสเปนก็ได้หาเสียงที่จะนำโมเดลนี้มาปรับใช้เช่นเดียวกัน และในรัฐสภายุโรป (EU Council) เพิ่งได้ทำการรับรองรายงานด้านผลกระทบของการค้าบริการ โดยในรายงานระบุว่า การลดความต้องการซื้อคือกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหา ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลนี้ และกำลังจะเริ่มหาความเป็นไปได้ที่จะออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลประเทศในกลุ่ม EU
ในแต่ละโมเดลนั้นแยกกันด้วยวิธีการกำกับโดยการออกกฎหมายเป็นหลัก ผู้สนับสนุนอาจมีความคิดในเชิงศีลธรรมหรืออุดมการณ์เหมือนกับโมเดลหนึ่งหรือหลายโมเดล แต่สนับสนุนอีกโมเดลหนึ่งเพราะเห็นด้วยมากกว่าในทางปฏิบัติ ตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่งเห็นด้วยกับหลักการที่ไม่ควรมีผู้ค้าบริการ แต่ในทางปฏิบัตินั้นไม่สามารถควบคุมได้ จึงสนับสนุนโมเดลทำให้ถูกกฎหมายเป็นต้น นอกจากนี้ในแต่ละประเทศที่เลือกใช้โมเดลใดโมเดลหนึ่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องนำหลักปฏิบัติของโมเดลนั้นมาใช้ทั้งหมด แต่สามารถเลือกที่จะปรับเข้ากับบริบทของประเทศตัวเองได้
ผู้เขียนหวังว่าบทความขนาดสั้นชิ้นนี้จะเป็นการเปิดมุมมองกับผู้อ่านในประเทศไทยได้ไม่มากก็น้อย ถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในบทสนทนาแลกเปลี่ยนอนาคตของประเทศไทยในประเด็นการค้าบริการทางเพศ สำหรับประเทศไทยเรานั้นมีการประเมินว่าเป็นแหล่งการค้าบริการทางเพศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก มีงานวิจัยจากStockholm School of Economics สรุปว่า การที่แคนาดา ฝรั่งเศส นอร์เวย์ และไอร์แลนด์นำโมเดลนอร์ดิกมาใช้ นักท่องราตรีที่ซื้อบริการในประเทศตัวเองไม่ได้เลยย้ายมาเที่ยวในประเทศไทยและฟิลิปปินส์แทน ดังนั้น การตัดสินใจใช้โมเดลแบบไหนในประเทศไทยที่มีขนาดตลาดใหญ่มหาศาลย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นในโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่ทุกอย่างเชื่อมถึงกันอย่างทุกวันนี้ และส่งผลต่อการตัดสินใจของประเทศอื่นที่กำลังลังเลอีกด้วย
หมายเหตุ: ในบางเอกสารได้แบ่งโมเดลออกเป็น 5 แบบ แทน 4 แบบที่ปรากฏในบทความชิ้นนี้ ได้แก่ Criminalization, Abolitionist, Neo-Abolitionist, Legalization และ Decriminalization โดย Neo-abolitionist หมายถึง Nordic Model และ Decriminalization คือการผสมระหว่าง abolitionist กับ decriminalization เข้าด้วยกัน
ข้อมูลอ้างอิง