
การแตะหลอกที่ดึงให้ โอลี สคาร์ลส์ หลงจังหวะ, การก้มศีรษะหลบบอล และการหมุนตัวสปีดหนีเด็กวัย 19 ปีไปได้อย่างเหนือชั้น ก่อนจะจ่ายบอลด้วยหลังเท้าซ้ายไปให้หลุยส์ ดิอาซ จนกลายเป็นประตูขึ้นนำในเกมที่ ลิเวอร์พูล พบกับ เวสต์แฮม
นั่นคือเครื่องหมายการค้าของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซูเปอร์สตาร์ชาวอียิปต์ ฮีโร่และตำนานของ "หงส์แดง"
อาจจะมีคนตั้งคำถามในอีกสองปีข้างหน้า เมื่อซาลาห์อายุ 35 ปี ถ้าเขากลายเป็นตัวถ่วงเกมรุกและเดินช้ากว่าคนอื่น ว่าทำไมวันนี้ลิเวอร์พูลถึงต่อสัญญาเขาอีกสองปี
แต่ในค่ำคืนที่แอนฟิลด์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่มีใครสงสัยในดีลนี้เลย เพราะนี่คือการมีส่วนร่วมกับประตูที่ 55 ของฤดูกาล จากการเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยจินตนาการ ความเฉียบคม และคลาสระดับโลก
ต่อให้วันหนึ่งขาของเขาจะเริ่มช้าลง แต่ศักยภาพในการสร้างสรรค์อะไรที่ไม่คาดคิดได้เสมอแบบนี้ ก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี
เช่นเดียวกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังกัปตันทีมวัย 33 ปี ที่ได้ต่อสัญญากับลิเวอร์พูลออกไปอีก 2 ปี เรียบร้อย โดย ฟาน ไดจ์ค ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในแนวรับของทีม เขาลงเล่นครบทุกนาทีในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ และมีสถิติการสัมผัสบอลและการจ่ายบอลสำเร็จสูงสุดในบรรดากองหลังทั้งหมด
นั่นเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงความมุ่งมั่นของสโมสรในการรักษาผู้เล่นระดับโลกไว้ในทีม
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าของสโมสรลิเวอร์พูลอย่าง เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป (FSG) มักไม่ค่อยยินดีมอบสัญญาฉบับใหม่ที่มีมูลค่าสูงให้กับนักเตะที่อยู่ในช่วงปลายของอาชีพค้าแข้ง
เหตุผลของพวกเขาก็ฟังดูสมเหตุสมผล นั่นคือ "ไม่มีใครอยากจ่ายค่าเหนื่อยระดับซูเปอร์สตาร์ให้กับนักเตะที่อาจเหลือแค่บทบาทตัวสำรองในทีม"
การตัดสินใจแบบนี้ต้องตัดอารมณ์ออกไปทั้งหมด สิ่งที่นักเตะเคยทำไว้ในอดีตไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งสำคัญคือ พวกเขายังเหลืออะไรให้ทีมได้บ้าง? และ เงินก้อนนั้นควรเอาไปใช้ที่อื่นหรือเปล่า?
เราจึงเห็นนักเตะอย่าง จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ซึ่งเป็นที่รักของแฟนบอลจากบทบาทในยุคทองของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องอำลาทีมไปแบบไม่มีค่าตัวในวัยเพียงต้นสามสิบ เพราะไม่สามารถตกลงสัญญาใหม่ได้ และจนถึงวันนี้ก็ไม่มีสิ่งใดมาหักล้างว่านั่นคือการตัดสินใจที่ผิด
อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง การรู้ว่าเมื่อใดควรยืดหยุ่นจากกฎที่ตั้งไว้ ก็เป็นความแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง และการยกเว้นกฎเหล็กของสโมสรเพื่อนักเตะอย่าง ซาลาห์-ฟาน ไดจ์ค ก็คือความแข็งแกร่งแบบนั้น
ตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา อนาคตของทั้งคู่เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอยู่เสมอ โดย อาร์เน่อ ชล็อต เฮดโค้ชคนใหม่แสดงจุดยืนชัดเจนว่าเขาต้องการเก็บพวกเขาไว้กับทีม
เมื่อ ริชาร์ด ฮิวจ์ส เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาของลิเวอร์พูลเมื่อปีก่อน หนึ่งในเรื่องเร่งด่วนที่สุดก็คือการจัดการสัญญาของ ซาลาห์, ฟาน ไดจ์ค และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
ในบรรดาทั้งสามคน เทรนต์เป็นกรณีที่แตกต่าง เนื่องจากอายุยังน้อยและกำลังได้รับความสนใจจาก เรอัล มาดริด ที่พยายามดึงตัวเขาในตลาดเดือนมกราคม แม้ไม่สำเร็จ แต่คาดว่าเขาจะย้ายแบบไม่มีค่าตัวไปยังเบร์นาเบวในช่วงซัมเมอร์นี้
ในทางกลับกัน ลิเวอร์พูลกลับเริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าจะสามารถตกลงกับซาลาห์และฟาน ไดจ์คได้ ทั้งสองคนแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความผูกพันทางอารมณ์กับสโมสร และความต้องการสานต่อบทบาทเพื่อเสริมสร้างตำนานของตนเอง
ผลงานของทั้งคู่ในฤดูกาลนี้คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด
ซาลาห์ ยิงไปแล้ว 32 ประตู และแอสซิสต์อีก 23 ครั้ง มีโอกาสคว้าทั้งรองเท้าทองคำ และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA
ฟาน ไดจ์ค คือกำแพงเหล็กในแนวรับ ผู้นำที่แบกทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยฟอร์มคงเส้นคงวา และบทบาทกัปตันที่ยกระดับมาตรฐานทั้งในและนอกสนาม
ทั้งคู่ยังคงแข็งแรง เล่นได้อย่างสม่ำเสมอ ซาลาห์, ฟาน ไดจ์ค (และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก) ต่างลงเป็นตัวจริงครบทุกเกมพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1987-88
แน่นอนว่าการที่ ซาลาห์-ฟาน ไดจ์ค ยังอยู่กับทีม ทั้งคู่จะยังเป็นกำลังสำคัญของหงส์แดง หากยังรักษาฟอร์ม ณ ปัจจุบันไว้ได้ แต่เหนือกว่านั้นคือ การรักษาทั้งคู่ไว้ได้น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การสร้างทีมใหม่ของลิเวอร์พูลง่ายขึ้นมาก เพราะสโมสรจะสามารถปรับปรุงทีมด้วยความรอบคอบ แทนที่จะต้องรีบหาใครมาแทนสองกำลังหลักพร้อมกัน
แน่นอนว่าลิเวอร์พูลยังจำเป็นต้องปรับทีมบางจุด ถึงแม้ว่า อาร์เน่อ ชล็อต จะได้รับมรดกทีมที่ดีเยี่ยมจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่หนึ่งปีผ่านไปก็ยังมีหลายจุดให้ต้อง “เกลา”
ไม่ใช่แค่เพราะ ชล็อต ไม่เชื่อมั่นในดาร์วิน นูนเญซ หรือฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ แต่เพราะสภาพร่างกายของแอนดี้ โรเบิร์ตสันเริ่มแสดงอาการโรยรา และดิโอโก้ โชต้า และ โจ โกเมซ ก็ยังไม่พ้นปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรัง
หากต้องเสียเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (และอาจรวมถึง เฟเดริโก้ เคียซ่า ที่มีบทบาทน้อยในฤดูกาลนี้ออกไป) แถมยังไม่มีตัวรับธรรมชาติในทีมเลย ส่งผลให้ในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์นี้ ลิเวอร์พูลอาจต้องเสริมผู้เล่นถึง 5-6 คน
แม้จะเข้าใจได้ เพราะซัมเมอร์ที่แล้วทีมดึงแค่เคียซ่าเข้ามา แต่ก็ยังถือว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่มากพอสมควรสำหรับทีมที่ฟอร์มดีที่สุดในลีกฤดูกาลนี้
ลิเวอร์พูลอาจไม่ได้เล่นหวือหวา แต่ก็เล่นได้เสมอต้นเสมอปลายตลอดฤดูกาล ขณะที่ทีมลุ้นแชมป์อื่นพากันสะดุด มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาที่ทำให้พรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ขาดสีสันในการลุ้นแชมป์ เกมกับเวสต์แฮมก็เป็นตัวอย่างทีดี
แม้เวสต์แฮมจะตีเสมอได้ช่วงท้ายเกม ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่แฟนบอลลิเวอร์พูลเท่าไหร่ เพราะความรู้สึกคือ "แค่เลื่อนการคว้าแชมป์ออกไป" มากกว่าจะกลัวแพ้ และสุดท้าย พวกเขาก็เกือบยิงได้ก่อนประตูชัยของ ฟาน ไดจ์ค เสียอีก ความสามารถในการเร่งเกมฉับพลันคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงใกล้แชมป์เต็มที
แม้ช่วงต้นกุมภาพันธ์ทีมจะเริ่มมีอาการล้า แต่ฝั่งอาร์เซน่อลก็ไม่อาจใช้โอกาสนั้นได้ดีเท่าไหร่ ชนะได้เพียง 2 จาก 7 เกมหลังสุด หลังจากเกมเสมอกับเอฟเวอร์ตันเมื่อสองเดือนก่อน ลิเวอร์พูลกลับเพิ่มช่องว่างของคะแนนมากขึ้นอีก
ตอนนี้พวกเขาต้องการชัยชนะอีกแค่สองเกมเท่านั้น และหากอาร์เซน่อลพลาดท่าแพ้อิปสวิชสุดสัปดาห์หน้า ลิเวอร์พูลอาจคว้าแชมป์ที่เลสเตอร์ได้ในวันอาทิตย์หน้าเลย หรือหากจะให้สมจริงขึ้น พวกเขาน่าจะชูถ้วยในบ้านตัวเองเจอสเปอร์สสิ้นเดือนนี้ (หรืออาจได้แชมป์จากการที่อาร์เซน่อลสะดุดกับพาเลซกลางสัปดาห์ก่อนก็ได้)
ถึงฤดูกาลนี้จะไม่ได้มีบทสรุปแบบสุดโรแมนติก แต่แต้มก็คือแต้ม จะมาในเดือนสิงหาคมหรือพฤษภาคมก็เหมือนกัน ลิเวอร์พูลไม่ได้ผิดอะไรที่ทำให้ทีมอื่นตามไม่ทัน และถ้าได้แชมป์ตั้งแต่ก่อนเดือนพฤษภาคม จะเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งสุด ๆ
...
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะนิ่งเฉยได้ ฟุตบอลไม่เคยหยุดนิ่ง การพัฒนาเป็นสิ่งที่ต้องทำเสมอ
และข่าวดีสำหรับลิเวอร์พูลก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค จะยังอยู่เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนานั้น