
จริงๆปัญหาเรื่องค่าแรงสามารถเป็นสิ่งที่เราเรียกร้องได้ แต่แน่นอนว่าแค่คนคนเดียวไม่สามารถทำได้แน่นอน ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าเกิดการรวมตัวของคนทำงานจนสามารถเกิดอำนาจที่จะต่อรองได้ ผลลัพธ์ย่อมเห็นได้ชัดกว่าและเป็นรูปเป็นร่างกว่า ด้วยเหตุนี้การรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ของแรงงานจึงเกิดขึ้นทั่วโลก แต่แล้วในไทยล่ะ? เรามีสหภาพแรงงานกับเขาหรือไหม? ทำไมการเรียกร้องของเราถึงดูเป็นไปได้ยากมาก? มาหาคำตอบในบทความนี้กัน
สหภาพแรงงาน คือ
สหภาพแรงงาน คือการรวมตัวกันของกลุ่มแรงงาน ลูกจ้างหรือคนทำงานไม่ว่าจะเป็นภาคส่วนอุตสาหกรรม การบริการ หรือภาคส่วนใดๆก็ตาม โดยการร่วมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานจะมีวัตถุประสงค์หลักคือการเรียกร้องสวัสดิการ ค่าแรง และระยะเวลาการทำงานให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมมากที่สุด การมีสหภาพแรงงานจะช่วยให้ลูกจ้างมีอำนาจในการต่อรองกับนายจ้างมากขึ้น โดยในหลายประเทศที่ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี รายได้และรายจ่ายสัมพันธ์กัน ล้วนมาจากการมีสหภาพแรงงานที่แข็งแกร่งทั้งสิ้น
สหภาพแรงงานเริ่มต้นจากไหน?
ถ้าพูดถึงจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มสหภาพแรงงาน เราคงต้องย้อนกลับไปดูถึงสมัยยุคกลาง ชาวไร่ชาวนาในยุคนั้นต้องทำงานให้กับขุนนางที่เป็นเจ้าของที่ดินโดยไม่ได้รับค่าแรง ชาวไร่ชาวนากลุ่มนี้จะสามารถเก็บผลผลิตที่ตัวเองผลิตได้ไว้จำนวนหนึ่ง(ซึ่งเก็บได้เล็กน้อยมาก) ในขณะที่หากเป็นช่างฝีมืออาจได้รับค่าจ้างแทนเล็กๆน้อยๆบ้าง แต่ก็อาจเสียชีวิตจากงานที่เสี่ยงอันตรายหรือติดโรคระบาดจนเสียชีวิตได้
จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 18 ที่อุตสาหกรรมเริ่มพัฒนาเพิ่มขึ้น แรงงานเริ่มได้ค่าแรงจากนายจ้าง แต่ความเสี่ยงและอันตรายจากการทำงานยังไม่มีสวัสดิการครอบคลุม คนงานจำนวนมากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่พลัดตกลงไปในเครื่องจักรอุตสาหกรรม และด้วยค่าตอบแทนที่น้อยนิดบวกกับไม่มีการดูแลเรื่องความปลอดภัย การรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ด้านความปลอดภัยและค่าตอบแทนจึงได้เริ่มต้นขึ้น อาวุธหลักในการต่อสู้ของแรงงานคือการนัดกันประท้วงหยุดงาน แน่นอนว่าเมื่อแรงงานทุกคนหยุดงานพร้อมกัน นายจ้างขาดคนทำงาน ขาดทุน ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และแรงงานจะกลับมาทำงานก็ต่อเมื่อนายจ้างยอมรับข้อเรียกร้องเท่านั้น
ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่เกิดการปฏิวัติทั่วยุโรป และการประท้วงหยุดงานก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าหลักๆแล้วย่อมมีแรงจูงใจทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายห้ามการรวมตัวของแรงงาน ห้ามเกิดการต่อรองค่าแรง แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ แรงงานยิ่งอยากรวมตัวกันเป็นสหภาพเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมมากขึ้น
ในปี 1831 คนงานเหมืองและช่างเหล็กใน Merthyr Tydfil เมืองทางตอนใต้ของประเทศเวลส์ได้รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องค่าแรงให้มากขึ้น การปฏิวัติธงแดง (Red flag of revolution) ได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลานี้ และในเวลาต่อมา ธงแดงได้กลายเป็นสิ่งแทนสัญลักษณ์ของชนชั้นแรงงานไปโดยปริยาย
ในประเทศสเปนเมื่อเกิดการนัดประท้วงหยุดงาน กลไกของสหภาพแรงงานจะมีกองทุนสำหรับนัดหยุดงานโดยเฉพาะ ซึ่งลูกจ้างไม่ต้องกังวลเลยว่าเมื่อหยุดงานแล้วจะขาดรายได้ เพราะสหภาพแรงงานของสเปนมีความแข็งแกร่งมาก การประท้วงเพื่อหยุดงานทำให้เมืองบาร์เซโลน่า (Barcelona) เป็นอัมพาตอยู่ถึง 44 วัน จนกระทั่งรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย และสเปนจึงเป็นประเทศต้นแบบแรกๆของโลกที่เกิดกฎหมายกำหนดชั่วโมงการทำงานของแรงงาน โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นมาร่วม 200 ปีมาแล้ว
การเคลื่อนไหวเพื่อรวมตัวจัดตั้งสหภาพแรงงานยังคงดำเนินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี 1906 การเคลื่อนไหวทางการเมืองในสหราชอาณาจักรผลักดันให้ก่อตั้ง “พรรคแรงงาน (Labour Party)” เพื่อเป็นตัวแทนและกระบอกเสียงสะท้อนปัญหาที่แรงงานได้รับ
สหภาพแรงงานในไทย
การจัดตั้งสหภาพแรงงานในไทยเกิดขึ้นครั้งแรกในปีพ.ศ.2440 โดยการรวมกลุ่มของลูกจ้างรถรางแห่งประเทศไทย โดยวัตถุประสงค์หลักคือการยื่นข้อเรียกร้องจากนายจ้างเรื่องสวัสดิการและการช่วยเหลือลูกจ้างในด้านต่างๆ แต่การจัดตั้งสหภาพแรงงานก็ยังถูกแทรกแซงโดยอำนาจรัฐ ทำให้แรงงานขาดอิสระในการเคลื่อนไหวและจัดตั้งรวมกลุ่ม แม้ว่าภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองในปีพ.ศ. 2475 การรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องสิทธิของคนทำงานจะได้รับการยอมรับมากขึ้น มีการจดทะเบียนตามกฎหมาย มีการยื่นข้อเรียกร้องอย่างชัดเจน แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่2 และสงครามอินโดจีน ระบบการปกครองที่ทำให้ทหารต้องมีบทบาทและอำนาจมากขึ้น สิทธิ์ของแรงงานก็โดนกดขี่ลงอีกครั้ง แม้ว่าหลังสิ้นสุดสงครามจะมีการคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน แต่ก็ต้องยอมรับว่าการรวมกลุ่มกันของคนทำงานในประเทศไทยเพื่อยื่นเสนอข้อเรียกร้องที่เป็นธรรมค่อนข้างจะมีความทุลักทุเลล้มลุกคลุกคลานกันพอสมควร ครั้นจะมีการเสนอร่างกฎหมายและพิจารณาเข้าสู่สภา ก็ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภามากพอ ทำให้ร่างกฎหมายนั้นเป็นอันปัดตกไป
สำหรับช่วงเวลาที่แรงงานในประเทศไทยมีเสรีภาพและดูมีความหวังมากที่สุด ก็คงเป็นช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ที่ขบวนการนิสิตนักศึกษาได้รวมตัวกันโค่นล้มระบอบเผด็จการทหารจาก จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่สืบทอดระบอบเผด็จการทหารมาร่วม 15 ปี นับตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยการโค่นล้มครั้งนี้ประชาธิปไตยได้หวนคืนสู่ประชาชน แรงงานสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเสรีและได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม แต่แน่นอนว่าช่วงเวลาแห่งความสุขย่อมอยู่ได้ไม่นาน หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 กฎหมายแรงงานจะถูกกีดกัน รัฐออกกฎหมายเพื่อเอื้อนายทุนอย่างเห็นได้ชัด การรวมตัวกันเพื่อจัดตั้งสหภาพแรงงานของไทยหลังยุคนี้ก็ดูกระจัดกระจาย ถูกแทรกแซงและเห็นได้ริบหรี่จนแทบถูกกลืนหายไปเสียด้วยซ้ำ
ทำไมสหภาพแรงงานในไทยถึงอ่อนแอ?
ต้องยอมรับว่าจำนวนสมาชิกของสหภาพแรงงานในไทยมีสัดส่วนที่น้อยมากๆเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และด้วยความที่สมาชิกในสหภาพแรงงานมีจำนวนน้อยอำนาจการต่อรองกับนายจ้างก็มีน้อยตามหรือแทบไม่มีเลย นอกจากการถูกแทรกแซงจากอำนาจรัฐ
เหตุผลหลักๆที่ทำให้สหภาพแรงงานในไทยอ่อนแอคือ คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นแรงงาน คิดว่า”แรงงาน” หมายถึงคนที่ทำงานกลางแจ้ง หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ใช้แรงงาน หาบเร่ หรือเป็นกรรมกรเพียงเท่านั้น การเข้าร่วมสหภาพแรงงานจึงดูไม่น่าอภิรมย์นักด้วยความคิดที่ว่าเราไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่จริงๆแล้วคำว่าแรงงานนั้นครอบคลุมถึงคนทำงานทุกคน ไม่ว่าคุณจะทำงานที่ไหน ใช้แรงกายหรือแรงสมองเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าแรงในการดำรงชีวิต ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นแรงงานทั้งสิ้น
การจะทำให้สหภาพแรงงานในไทยมีความแข็งแกร่งขึ้น อย่างแรกเลยคือต้องสร้างความเข้าใจให้ตรงกันก่อน ว่าเราทุกคนที่ทำงานเนี่ยเป็นแรงงาน เพราะหากมัวแต่คิดว่าเราไม่ใช่พวกเดียวกัน แน่นอนว่าการรวมกลุ่มให้แข็งแรงย่อมเป็นไปได้ยากแน่นอน แต่ถ้าถามว่าต้องใช้เวลาในการสร้างความเข้าใจนานไหม แน่นอนว่าต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรเนื่องจากการปรับเปลี่ยนระบบความคิดที่หยั่งรากลึกก็นับเป็นปัญหาเชิงวัฒนธรรมที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ในทันทีทันใด
ปัญหาปัจจุบันที่พบเจอเมื่อไม่มีสหภาพแรงงาน
ปัญหาที่เรื้อรังมานานสำหรับคนทำงานและยากที่จะต่อรองกับนายจ้างได้ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องของค่าแรงและสวัสดิการที่ไม่เป็นธรรม ในบางบริษัทการทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รับค่าล่วงเวลาหรือโอทีก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องที่เห็นได้ชินตาจนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว อาชีพหลายอาชีพที่เนื้องานมีความเสี่ยงและอันตรายสูงอย่าง พนักงานดับเพลิงหรือพนักงานขนขยะมูลฝอย กลับได้รับสวัสดิการที่ไม่เป็นธรรมและค่าแรงที่ต่ำเกินความเป็นจริง รวมถึงนักศึกษาฝึกงานที่ทำงานไม่ต่างจากพนักงานประจำ แต่ไม่เคยได้รับค่าตอบแทนเพียงเพราะบริษัทใช้คำว่า “เก็บประสบการณ์” จนกลายเป็นค่านิยมที่ทำต่อกันมาเรื่อย ๆ คนส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าที่จะลุกขึ้นมาเรียกร้องเพราะมีความรู้สึกว่าก็เขาทำต่อๆกันมาอย่างนี้ ไม่อยากมีปัญหากับที่ทำงาน หรือในกรณีที่แย่ที่สุดคือไม่อยากโดนไล่ออก อะไรที่พอทำได้ก็ทำไป
ซึ่งปัญหาที่เรากล่าวมาข้างต้นนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านรายได้เป็นอันดับต้นๆของโลก ซึ่งประเทศไทยเราไม่มีสหภาพแรงงานมาราวๆ 45 ปีแล้ว นับตั้งแต่เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่รัฐบาลเริ่มมีการออกนโยบายเพื่อเกื้อหนุนนายทุนมากขึ้น
ถ้ามีสหภาพแรงงานที่แข็งแกร่ง มีข้อดียังไง
จากที่เราได้กล่าวไปข้างต้นการมีสหภาพแรงงานจะส่งผลดีในเชิงอำนาจการต่อรองของคนทำงานมากขึ้น เราไม่จำเป็นต้องทำงานเยอะๆเพื่อให้ได้ค่าแรงมาเพียงแค่พอเลี้ยงปากท้อง ในทางกลับกัน ชั่วโมงการทำงานและค่าตอบแทนที่เราควรได้รับจะมีความสมเหตุสมผลมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำในที่ทำงานจะมีช่องว่างที่ลดลงมา รวมถึงหากโดนกลั่นแกล้งในที่ทำงานไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกายหรือจิตใจ ก็สามารถให้สหภาพแรงงานยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือได้
การจัดตั้งสหภาพแรงานที่แข็งแกร่งในไทยแน่นอนว่าเป็นความหวังของคนทำงานแทบจะส่วนใหญ่ในประเทศนี้เลยก็ว่าได้ การเคลื่อนไหวและเรียกร้องอาจไม่ได้มาในระยะเวลาอันสั้น แต่ในยุคที่ประชาชนเริ่มตระหนักถึงสิทธิ์ที่ควรได้รับและเริ่มฉุกคิดได้มากขึ้น ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีในการต่อยอด พัฒนาและเคลื่อนไหว ในอนาคตที่ทุกคนอยากยืนหยัดเพื่อเรียกร้องความถูกต้องและสิทธิ์ของตัวเอง ในวันนั้นเราอาจเห็นสหภาพแรงงานที่แข็งแกร่งในไทยเติบโตขึ้นจนมีอำนาจต่อรองที่สูงลิบลิ่วก็อาจไม่ใช่ภาพฝันอีกต่อไป
ภัคสุภา รัตนภาชน์
--------------------
ที่มา