svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

ได้เวลาเชือดแพะที่ชื่อ “อาร์เตต้า”

16 สิงหาคม 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

“ทุกวันนี้ผมไม่มีอารมณ์อยากจะดูพวกเขาแข่งเลย” เอ็มมานูเอล เปอตีต์ หนึ่งในตำนานของทีม “ปืนใหญ่” กล่าวไว้หลังจบเกมที่ อาร์เซน่อล อดีตต้นสังกัด พ่ายต่อทีมน้องใหม่อย่าง เบรนท์ฟอร์ด ในนัดเปิดฤดูกาลของศึกพรีเมียร์ลีก

       แน่นอนว่าความรู้สึกของ เปอตีต์ ก็คงเป็นเช่นเดียวกับสาวก “เดอะ กันเนอร์ส” ทั่วโลก ที่ต้องทนเห็นผลงานของทีมสาละวันเตี้ยลงแบบที่ไม่รู้จะไปจบที่ตรงไหน

 

       จริงอยู่ที่การสานต่อความสำเร็จจากกุนซือระดับตำนานอย่างอาร์แซน เวนเกอร์ ที่อยู่กับทีมมานาน ถือเป็นเรื่องยากเสมอไม่ว่ากับทีมไหน เช่นเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ต้องคลำทางกันอยู่นานกว่าจะเริ่มมีแววคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งในยุคของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

 

       แต่อาร์เซน่อล ที่เข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับ แมนฯยูไนเต็ด กลับยังไม่เห็นหนทางสู่แสงสว่างได้เหมือนกับทีมคู่อริแม้แต่น้อย

 

       และจากความพ่ายแพ้ในนัดเปิดซีซั่น ทำให้ “มิเกล อาร์เตต้า” กุนซือชาวสเปน กลายเป็นเต็ง 1 ที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่งไปเรียบร้อยแล้ว

 

       ซึ่งสัญญาณแห่งความล้มเหลวของ อาร์เตต้า จริงๆแล้วก็เริ่มมีมาตั้งแต่ฤดูกาลก่อนแล้ว จากการคว้าอันดับ 8 ในลีก พลาดโอกาสไปลุยศึกฟุตบอลถ้วยยุโรปทุกรายการ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมีเครื่องหมายคำถามว่า ตกลง “ปืนใหญ่” จะพอใจอยู่แค่นี้จริงๆหรือ? พร้อมกับข้อสงสัยว่า มิเกล อาร์เตต้า คือคนที่ใช่สำหรับทีมรึเปล่า?

 

       จริงอยู่ที่ต้องยอมรับว่า อาร์เตต้า ตัดสินใจเข้ามารับเผือกร้อนในงานนี้เร็วเกินไป เพราะเขาเองก็ไม่มีประสบการณ์ในการทำทีมอย่างเต็มตัวมาก่อน น่าจะไปเริ่มต้นอาชีพด้วยการคุมทีมเล็กๆที่มีความคาดหวังน้อยกว่านี้ก่อนจะเหมาะสมกว่า แต่ด้วยความที่เคยค้าแข้งให้อาร์เซน่อลมานาน ทำให้ไม่สามารถปฏิเสธงานนี้ได้

 

       อย่างไรก็ตามคงไม่สามารถไปโทษว่าเป็นเพราะความสามารถของ อาร์เตต้า ได้ทั้งหมด เพราะนับตั้งแต่ อาร์เซน่อล ตัดสินใจเดินหน้าสร้างสนามใหม่อย่าง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม แทนที่สนามเดิมอย่าง ไฮบิวรี่ แล้ว งบประมาณในการทำทีมของพวกเขาก็ค่อยๆลดน้อยลงเพราะส่วนหนึ่งต้องกันไว้ใช้หนี้ธนาคารที่ไปกู้มาสร้างสนาม เพียงแต่ด้วยฝีไม้ลายมือของ เวนเกอร์ ทำให้ปัญหาดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อทีมมากนัก

 

       แต่ในระยะยาว ต่อให้มีอีกสิบ เวนเกอร์ ก็คงเอาไม่อยู่

 

       ในช่วง 2-3 ปีสุดท้ายของเวนเกอร์ในการกุมบังเหียนอาร์เซน่อล ปัญหาในทีมเริ่มลุกลามขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณในการทำทีม การซื้อขายนักเตะที่ผิดพลาด ฯลฯ ซึ่งส่งผลมาถึงผลงานในสนาม สุดท้าย กุนซือชาวฝรั่งเศสผู้นี้ก็ต้องอำลาทีมไป

 

       เท่านั้นเอง ทุกคนก็ได้เห็นปัญหาในทีมที่แท้จริง นั่นคือการไร้ฝีมือของฝ่ายบริหาร ที่อาจจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาก่อน แต่ต่างคนต่างก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในวงการฟุตบอลมากพอ ส่วนการซื้อขายนักเตะก็ไม่ได้มีแนวทางที่ชัดเจน บางครั้งดูเหมือนว่าต้องการเฟ้นหาดาวรุ่งมาปั้น แต่สุดท้ายก็ไปซื้อสตาร์ค่าตัวแพงๆ บางครั้งพยายามเฟ้นหาของดีราคาถูก แต่สุดท้ายกลายเป็นถูกย้อมแมวขาย

       และ อาร์เตต้า ก็ต้องเจอปัญหานี้เช่นเดียวกัน

 

       ซีซั่นนี้ “ปืนใหญ่” คว้าตัวนักเตะมาแล้ว 3 ราย คือ นูโน่ ตาวาเรส แบ็กซ้ายชาวโปรตุกีสมาจาก เบนฟิก้า, อัลเบิร์ต แซมบี้ โลก็องก้า กองกลางดาวรุ่งชาวเบลเยี่ยม (เชื้อสายคองโก) มาจาก อันเดอร์เลชท์ และ เบน ไวท์ ปราการหลังจาก ไบรท์ตัน

 

       มีใครรู้จักพวกเขาเหล่านี้มาก่อนบ้าง? แฟนๆอาร์เซน่อลยังยอมรับเองเลยว่า ต้องไปไล่หาข้อมูลกันให้วุ่นวายหลังจากที่ทีมรักมีข่าวกับนักเตะเหล่านี้ เพราะไม่เคยรู้จักหรือเห็นฟอร์มมาก่อน

 

       โดยเฉพาะ เบน ไวท์ ที่ตกเป็นเป้าจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 50 ล้านปอนด์ เพราะทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าแข้งรายนี้มีดีอะไร มีแวว หรือ ถูกย้อมแมวอีกแล้ว

 

       และเพียงแค่นัดแรกกับ เบรนท์ฟอร์ด ทุกคนก็ได้รู้คำตอบ

 

       เจมี่ คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลังของ ลิเวอร์พูล ซึ่งปัจจุบันผันตัวไปเป็นนักวิเคราะห์ทางทีวี ถึงกับออกปากเลยว่า นับจากนี้ทุกทีมก็ได้รู้แล้วว่าแค่โยนบอมบ์เข้าไปในเขตโทษเดี๋ยวก็เอาชนะอาร์เซน่อลได้ เพราะ เบน ไวท์ เล่นลูกกลางอากาศได้ไม่ดีเอาเสียเลย

 

       แล้วการซื้อขายนักเตะที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สะท้อนถึงอะไร? คำตอบก็คือ ได้เห็นว่าฝ่ายบริหารของ อาร์เซน่อล อ่อนด้อยประสบการณ์ในการเจรจาแค่ไหน นักเตะที่ไม่ได้มีประสบการณ์ในระดับชาติมากมายอย่าง เบน ไวท์ ถูกโก่งราคาไปถึง 50 ล้านปอนด์ เทียบกับ แมนฯยูไนเต็ด ที่เสียเงินน้อยกว่าแต่ได้กองหลังดีกรีแชมป์โลกอย่าง ราฟาเอล วาราน

 

       อย่างไรก็ตาม แม้การซื้อตัวจะล้มเหลวจนส่งผลไปถึงผลงานในสนาม แต่สุดท้าย คนที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ก็เห็นจะหนีไม่พ้น มิเกล อาร์เตต้า แน่นอน ดีไม่ดีเจ้าตัวอาจจะอยู่ไม่ถึงเดือนหน้าเสียด้วยซื้อ เพราะโปรแกรมนัดต่อๆไปหลังจากนี้ถือว่าหนักทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการต้องเจอกับ แมนฯซิตี้ หรือ เชลซี

 

       แล้วสุดท้าย อาร์เซน่อล ก็จะกลับเข้าสู่วัฏจักรเดิมๆของพวกเขา นั่นคือ เปลี่ยนกุนซือ-เริ่มต้นสวย-แฟนๆเริ่มมีความหวัง-ซื้อตัวล้มเหลว-ผลงานดำดิ่ง-ปลดกุนซือ เป็นเช่นนี้ทุกๆ 2-3 ปี

 

       ขณะที่ฝ่ายบริหารแต่ละคนก็ยังนั่งกอดเก้าอี้อย่างเหนียวแน่นต่อไป

logoline