
ในคอลัมน์ ‘ARTchive’ ตอนที่ผ่านๆ มา เราเล่าถึงผลงานชิ้นเอกของศิลปินชายกันไปหลายตอนแล้ว ในตอนนี้เราเลยจะขอเล่าถึงผลงานชิ้นเอกของศิลปินผู้หญิงคนสำคัญกันบ้าง และศิลปินหญิงที่เราจะกล่าวถึงในตอนนี้ก็เป็นศิลปินผู้มีชื่อเสียง ฝีไม้ลายมือ และความคิดอ่านไม่ด้อยไปกว่าศิลปินชายทั้งหลายเลยแม้แต่น้อย ศิลปินผู้นี้มีชื่อว่า ลูอีซ บูร์ชัว (Louise Bourgeois)
ศิลปินและประติมากรหญิงชาวฝรั่งเศส/อเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในวงการศิลปะร่วมสมัยของโลก ชีวิตและผลงานของเธอเป็นตัวอย่างอันดีในการแสดงให้เห็นถึงการใช้งานศิลปะเป็นเครื่องมือในการกลั่นกรองความรู้สึกภายในและสภาวะทางจิตใจของเธอ และแสดงออกผ่านการทำงานศิลปะหลากสื่อหลายแขนง ผลงานของเธอเป็นการสำรวจและตอบสนองต่อความบอบช้ำทางจิตใจในช่วงวัยเด็ก โดยส่วนใหญ่มักแสดงออกถึงเนื้อหาเกี่ยวกับความหม่นหมอง หรือเรื่องทางเพศอันจะแจ้ง โดยนำเสนอผ่านมุมมองของผู้หญิงที่ต่อต้านขนบธรรมเนียมและค่านิยมเดิมๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่านิยมทางเพศ) ความเป็นเฟมินิสต์ รวมถึงการแสดงออกถึงแรงปรารถนาทางเพศอย่างตรงไปตรงมา เธอเป็นศิลปินหญิงเพียงไม่กี่คนในยุคสมัยเดียวกันที่ทำงานศิลปะแบบสามมิติ ความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานศิลปะ และการเป็นที่ปรึกษาให้แก่ศิลปินรุ่นใหม่ๆ มากมาย ส่งให้เธอกลายเป็นศิลปินคนสำคัญในระดับนานาชาติ และเป็นศิลปินผู้ส่งอิทธิพลต่อพัฒนาการของศิลปะคอนเซ็ปชวลและศิลปะจัดวางอย่างมหาศาล
ลูอีซ บูร์ชัว หรือในชื่อเต็มว่า ลูอีซ โจเซฟีน บูร์ชัวร์ (Louise Joséphine Bourgeois) เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 1911 ณ เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในครอบครัวที่ทำธุรกิจสิ่งทอ ในช่วงวัยเด็ก เธอมักต้องช่วยงานในบริษัทสิ่งทอของครอบครัว ทั้งการซักล้าง เย็บ ปัก ซ่อมแซม หรือวาดลวดลายผ้าร่วมกับแม่ของเธอ ผู้มีความผูกพันใกล้ชิดกับเธออย่างมาก ต่อมาเธอเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยซอร์บอน (Sorbonne University) ในสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ในปี 1930 ก่อนที่แม่ของเธอจะเสียชีวิตในปี 1932 การเสียชีวิตของแม่นี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้เธอเลิกเรียนคณิตศาสตร์และหันไปเรียนศิลปะแทน แต่พ่อของเธอคิดว่าศิลปินสมัยใหม่เป็นพวกไม่เอาถ่าน เขาจึงไม่เห็นด้วยและปฏิเสธที่จะส่งเสียค่าเล่าเรียนให้เธอ แต่เธอก็หาหนทางด้วยการรับเป็นล่ามให้กับนักเรียนที่พูดภาษาอังกฤษในชั้นเรียน ทำให้เธอได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน เธออยู่ภายใต้การดูแลของศิลปินคนสำคัญในยุคนั้นอย่าง แฟร์น็อง เลเช (Fernand Léger) มีเรื่องเล่าว่า หลังจากเขาเห็นผลงานภาพวาดและภาพลายเส้นของเธอในชั้นเรียน เขาบอกกับเธอว่า เธอไม่ใช่จิตรกร แต่เป็นประติมากรต่างหาก!
หลังจากนั้น เธอเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย École du Louvre และ École des Beaux-Arts ในสาขาประติมากรรม และเริ่มต้นทำงานศิลปะในเวลาต่อมา จนกระทั่งในปี 1938 เธอแต่งงานกับโรเบิร์ต โกลด์วอเตอร์ (Robert Goldwater) นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันและย้ายมาพำนักและทำงานอยู่ในนิวยอร์ก
ในเส้นทางของโลกศิลปะ เธอได้รับการจดจำในฐานะศิลปินผู้บุกเบิกแนวทางศิลปะที่เรียกว่า ‘confessional art’ หรืองานศิลปะที่เป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปินหญิงที่ใช้ผลงานศิลปะเป็นเสมือนหนึ่งเครื่องมือในการถ่ายทอดภาพชีวิต คล้ายกับอนุสรณ์หรืออัตชีวประวัติ นอกจากบูร์ชัวแล้ว ศิลปินหญิงคนอื่นที่ทำงานในแนวนี้ก็มี เทรซี เอมิน (Tracy Emin), โมนา ฮาร์ธอม (Mona Hartoum) และ โยโกะ โอโนะ (Yoko Ono) เป็นต้น
โดยผลงานของเธอมักจะได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของชีวิตที่ผ่านมา ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ความทรงจำ ประสบการณ์ ความรัก ความเกลียด ความทุกข์ ความเศร้า ความเจ็บปวด ความโดดเดี่ยว ความหวาดกลัว บาดแผล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเกี่ยวกับเพศสภาพและความเป็นเพศหญิง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานศิลปะหลากแขนง ทั้งจิตรกรรม ภาพพิมพ์ ภาพวาดลายเส้น สื่อผสม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประติมากรรมและศิลปะจัดวางในหลากสื่อหลายวัสดุ โดยเธอมักจะถ่ายทอดผลงานของเธอออกมาในรูปทรงของสิ่งมีชีวิตหรือมนุษย์ (โดยมากจะเป็นเพศเมีย) ขนาดยักษ์ รูปร่างพิสดาร ชวนขนลุก แต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความงดงามอย่างน่าพิศวง
“ในเมื่อความกลัวในอดีตเกี่ยวเนื่องกับความกลัวทางกายภาพ ความกลัวจึงปรากฏตัวให้เห็นผ่านร่างกาย สำหรับฉัน ประติมากรรมคือร่างกาย ร่างกายของฉันคือประติมากรรม”
อาทิเช่นผลงาน Femme Maison (1946-1947) ซีรีส์ภาพวาดที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นเพศหญิง ด้วยการใช้ภาพของหญิงเปลือยที่หัวและลำตัวส่วนบนถูกแทนที่ด้วยรูปทรงของสถาปัตยกรรมอย่างอาคารและบ้าน ซึ่งชื่องานซีรีส์นี้เป็นคำภาษาฝรั่งเศสว่า ‘แม่บ้าน’ ที่แปลตรงตัวอักษรว่า ‘บ้านผู้หญิง’ ผลงานชิ้นนี้บูร์ชัวสื่อบ้านคือสถานที่อันสำคัญยิ่งของผู้หญิง ซึ่งเป็นที่ที่พวกเธอสามารถสำรวจความคิดเกี่ยวกับตัวตนของความเป็นเพศหญิงได้
และ Destruction of the Father (1974) ผลงานที่เป็นเสมือนหนึ่งชีวประวัติส่วนตัวและการสำรวจทางจิตวิทยาเกี่ยวกับการครอบงำด้วยอำนาจของพ่อที่มีต่อลูก โดยเป็นงานศิลปะจัดวางรูปร่างคล้ายมดลูก ที่ทำขึ้นจากปูนปลาสเตอร์ ลาเท็กซ์ ไม้ และผ้า มีรูปร่างคล้ายกับเตียงนอนในห้องที่มีแสงสีแดงสดเหมือนอาบด้วยเลือด บนเตียงมีประติมากรรมนุ่มนิ่มรูปทรงคล้ายกับตัวอ่อนที่กำลังกัดกินพ่อของตัวเองอยู่
รวมถึง Cell (1989–1993) ผลงานศิลปะจัดวางที่ประกอบด้วยวัสดุทางถาปัตยกรรมอย่างประตูเก่า หน้าต่าง และตะแกรงลวดที่ประกอบกันเป็นกรงขัง ภายในมีชิ้นส่วนของประติมากรรมนุ่มนิ่มรูปทรงคล้ายสิ่งมีชีวิต และข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่บรรจุความทรงจำและอารมณ์ของศิลปินเอาไว้ ผลงานชิ้นนี้นำเสนอภาวะพื้นฐานของความรู้สึกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความกลัวและความเจ็บปวดในหลายรูปแบบ ทั้งความเจ็บปวดทางอารมณ์ ร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา
แต่ผลงานที่เป็นที่รู้จักที่สุดของเธอคือ Maman (1999) ประติมากรรมรูปแมงมุมขนาดยักษ์ที่ทำจากบรอนซ์ สแตนเลส และหินอ่อน อันเป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เธอที่สุด จนมีคนตั้งฉายาให้เธอว่า ‘คุณนายแมงมุม’ เลยทีเดียว ประติมากรรม Maman ขนาดใหญ่ที่สุดมีขนาดความสูงถึง 9.27 เมตร ความกว้าง 8.91 เมตร และความยาว 10.24 เมตร ใต้ท้องของตัวแมงมุมยังมีถุงไข่ที่บรรจุไข่แมงมุมที่ทำจากหินอ่อนจำนวน 32 ฟอง อยู่ด้วย
องค์ประกอบอันน่าสะพรึงกลัวในผลงานหลายๆ ชิ้นของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘แมงมุม’ เปรียบเสมือนภาพสะท้อนความรู้สึกหวาดกลัวในวัยเยาว์ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเธอและผู้หญิงหลายคน เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนักกับพ่อบังเกิดเกล้าของเธอเอง ผู้มีนิสัยเป็นเผด็จการในบ้านและสันดานเจ้าชู้มากรักหลายใจ ว่ากันว่าเขาถึงกับมีความสัมพันธ์โจ่งแจ้งกับชู้รักต่อหน้าภรรยาและลูกๆ โดยถึงกับพาหล่อนเข้ามาอยู่ในบ้าน (แถมชู้รักคนนี้ยังเป็นครูสอนพิเศษให้ลูอีซด้วย) ประสบการณ์ที่ว่านี้สร้างบาดแผลทางจิตใจจนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธอทำงานเกี่ยวกับประสบการณ์ในครอบครัวของเธอ ทั้งความเป็นแม่ ความสัมพันธ์ ความซื่อสัตย์ การทอดทิ้ง ร่างกาย และความไว้เนื้อเชื่อใจ
เธอยังตั้งคำถามต่อเพศสภาวะ บทบาท และพื้นที่ของสตรีทั้งในโลกศิลปะและในสังคม ที่ถูกจำกัดจำเขี่ยอย่างคับแคบเสมอมา อีกนัยนึง ประติมากรรมแมงมุมชิ้นนี้ก็แสดงออกถึงความปรารถนา ความเย้ายวน พลัง และสัญลักษณ์ทางเพศของผู้หญิง—ของเพศแม่—เพศผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตทั้งหลาย ผลงานชิ้นนี้ก็เปรียบเสมือนตัวแทนของแม่ของเธอนั่นเอง (maman เป็นภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า ‘แม่’)
"แมงมุมเป็นเหมือนบทกวีที่สรรเสริญแม่ของฉัน เธอเป็นเพื่อนที่ดี แม่เป็นผู้ถักทอสิ่งต่างๆ เหมือนกับแมงมุม ครอบครัวของเราทำธุรกิจฟื้นฟูสิ่งทอ แม่ของฉันต้องดูแลโรงงาน เธอฉลาดมาก เหมือนกับแมงมุมที่คอยกินยุง ซึ่งเป็นตัวแพร่เชื้อโรคและไม่เป็นที่ต้องการ ดังนั้น แมงมุมจะคอยช่วยเหลือและปกป้องเรา เหมือนกับแม่ที่คอยปกป้องลูกไม่มีผิด”
บูร์ชัวสร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมแมงมุม Maman ออกมาในหลากเวอร์ชั่น หลายขนาด ที่จัดแสดงในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งผลงานติดตั้งถาวรในพิพิธภัณฑ์ศิลปะหลายแห่ง ทั้งพิพิธภัณฑ์ Tate Modern ลอนดอน, หอศิลป์ฯ National Gallery of Canada, พิพิธภัณฑ์ Guggenheim Museum Bilbao สเปน, พิพิธภัณฑ์ Mori Art Museum โตเกียว, พิพิธภัณฑ์ Crystal Bridges Museum of American Art อาร์คันซอ สหรัฐอเมริกา, และ Qatar National Convention Center โดฮา กาตาร์ ทั้งยังจัดแสดงในนิทรรศการในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงเคยมาแสดงในกรุงเทพฯ ประเทศไทยด้วย แถมในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Bangkok Art Biennale 2024 ที่กำลังจะมาถึงในปลายปีนี้ ก็จะมีผลงานของเธอมาร่วมแสดงด้วย (แต่จะเป็นชิ้นไหนนั้น เขาขออุบเอาไว้ก่อนน่ะนะ)
นอกจากประติมากรรมแมงมุมหลากหลายขนาดแล้ว ผลงานที่โดดเด่นอีกชุดของเธอคืองานประติมากรรมจากผ้าที่เธอทำขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 1990 โดยเธอนำผ้าจากเสื้อผ้าและสิ่งของของบุคคลอันเป็นที่รักของเธอมาทำเป็นประติมากรรมรูปร่างคล้ายมนุษย์ ที่เป็นเสมือนภาพจำลองของวัยเยาว์และอดีตที่เธอหวนหา ในปี 2002 ผลงานชุดนี้ของเธอได้พัฒนาสู่ขอบเขตใหม่ๆ ด้วยการใช้เทคนิคการถักทอเศษผ้าหลากสี สร้างสรรค์รูปทรงที่คลี่คลายมาจากมวลหมู่ดอกไม้ให้กลายเป็นประติมากรรมรูปธรรมและนามธรรมเปี่ยมสีสันและน่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง
ลูอีซ บูร์ชัว เข้าร่วมในเทศกาลศิลปะ และนิทรรศการศิลปะจำนวนมาก ในช่วงยุค 1970s และ 1980s เธอยังมีบทบาทในฐานะนักเคลื่อนไหวทางการเมืองในฝ่ายสังคมนิยม และสตรีนิยม เธอยังเข้าร่วมกลุ่มต่อต้านการเซ็นเซอร์ องค์กรที่ต่อสู้กับการเซ็นเซอร์และปิดกั้นการใช้ภาพที่แสดงออกเรื่องราวทางเพศอย่างโจ่งแจ้งในผลงานศิลปะ เธอยังสร้างผลงานที่มีความเชื่อมโยงกับร่างกายของบุรุษและสตรีเพศอย่างโจ้งแจ้ง ตรงไปตรงมา อย่างเช่นผลงาน Fillette (1968) ที่หยิบเอาอวัยวะที่เธอโปรดปรานอย่าง องคชาติ หรือ จู๋ มาทำเป็นงานประติมากรรมอย่างชัดแจ้ง โดยเธอกล่าวว่า
“ถ้าฉันอยากนำเสนอบางสิ่งบางอย่างที่ฉันรัก แน่นอนว่าฉันต้องนำเสนอเจ้าจู๋อันน้อยๆ นี่แหละนะ”
เธอยังเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ได้จัดแสดงผลงานย้อนหลังที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่แห่งนิวยอร์ก (MoMA) ในปี 1982 ด้วยความที่เธอได้รับสัญชาติอเมริกันในปี 1951 ทำให้เธอเป็นตัวแทนของสหรัฐอเมริกาไปแสดงงานในมหกรรมศิลปะนานาชาติ Venice Biennale ครั้งที่ 45 ในปี 1993 อีกด้วย
หลังจากทำงานศิลปะจนถึงช่วงปีสุดท้ายของชีวิต ลูอีซ บูร์ชัว ก็เสียชีวิตในวันที่ 31 พฤษภาคม 2010 ด้วยวัย 98 ปี เหลือทิ้งไว้แต่เพียงผลงานและแรงบันดาลใจมากมายต่อวงการศิลปะและคนรุ่นหลัง.
ข้อมูลอ้างอิง