
Club Zero (2023) ภาพยนตร์ของผู้กำกับหญิงชาวออสเตรีย เจสสิก้า เฮาส์เนอร์ (Jessica Hausner) เข้าฉายในบ้านเราตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แม้จะจัดอยู่ในหมวดหนังนอกกระแส แต่ผลงานก่อนหน้าของเฮาส์เนอร์ก็เคยฉายในไทยหลายเรื่อง อาทิ Lovely Rita (2001), Hotel (2004), และ Lourdes (2009) โดยเฉพาะเรื่อง Hotel ที่คนไทยน่าจะคุ้นเคยกันมากที่สุด มันเป็นหนังที่ชาวเน็ตก่นด่าอย่างรุนแรงว่าเป็นหนังผีที่ไม่น่ากลัว ดูไม่รู้เรื่อง เสียเวลาชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็มีคนอีกกลุ่มที่ชอบหนังสุดจิตสุดใจ
ก่อนจะลงลึกหนังของเฮาส์เนอร์ ก็ต้องพูดถึงประเทศออสเตรียเสียก่อน เราอาจมีภาพจำว่าออสเตรียคือบ้านเกิดของโมทซาร์ท (Mozart) หรือเป็นฉากหลังสุดโรแมนติกของหนัง Before Sunrise (1995) หากแต่ดินแดนแห่งนี้ก็มีด้านมืดด้านเหวอมากมาย เช่น คดีลักพาตัวเหยื่อกินเวลาเป็นสิบปีที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง (คดีโด่งดังที่สุดคือเคสของ นาตาชา คัมพุช ที่ถูกจับตัวไป 3,096 วัน) หรือผู้คนที่มักดูแข็งๆ ตายด้าน ไปจนถึงภาษาเยอรมันที่น้ำเสียงกระด้างไม่เสนาะหู
ผลงานของเหล่าผู้กำกับออสเตรียคนดังไม่ว่าจะ มิคาเอล ฮาเนเก้ (Funny Games, 2007), อูลริค ไซเดิล (Dog Days, 2001), รวมถึงเฮาส์เนอร์ ก็มักมีลักษณะเย็นชาเป็นดีเอ็นเอประจำตัว หนังของพวกเขามักถ่ายทอดออกมาแบบนิ่งๆ แต่แฝงไว้ซึ่งความโหดร้ายรุนแรงที่อาจจะไม่ได้โจ่งแจ้งในด้านภาพ แต่เน้นการรบกวนอารมณ์ความรู้สึกของผู้ชม
เฮาส์เนอร์อาจจะไม่ใช่ผู้กำกับดังระดับแถวหน้า แต่ผลงานของเธอเข้าประกวดที่เทศกาลหนังเมืองคานส์เกือบทุกเรื่อง ผลงานเปิดตัว Lovely Rita ว่าด้วยเด็กสาวผู้มีปัญหากับพ่อแม่และโรงเรียน จนนำไปสู่ตอนจบที่ช็อกคนดู ส่วนผลงานต่อมา Hotel เล่าถึงพนักงานต้อนรับหญิงในแรงแรมที่ต้องประสบพบเจอเหตุเฮี้ยนๆ มากมาย และกระทั่งดูหนังจบผู้ชมก็ไม่เข้าใจว่าที่มาที่ไปของเรื่องราวคืออะไร เพราะผู้กำกับไม่ได้อยากอธิบายถึงสิ่งนั้น
เฮาส์เนอร์เปลี่ยนบรรยากาศไปถ่ายหนังที่ฝรั่งเศสใน Lourdes เรื่องราวของสาวขาพิการที่เดินทางไปเมืองศาสนาเพื่อหวังจะเดินได้อีกครั้ง เธอยังท้าทายตัวเองด้วยการทำหนังพีเรียด Amour Fou (2014) ที่ฉากหลังเป็นเบอร์ลินช่วงศตวรรษที่ 17 หญิงสาวกับนักเขียนหนุ่มตกหลุมรักถึงขั้นจะยอมฆ่าตัวตายตามกัน เป็นหนังคลั่งรักที่ทั้งน่าขันและขมขื่น ส่วน Little Joe (2019) เป็นหนังพูดภาษาอังกฤษที่มีความเป็นไซไฟ เมื่อนักเพาะพันธุ์สาวค้นพบว่าต้นไม้ที่เธอทำการทดลองอยู่อาจมีผลกับมนุษย์มากกว่าที่เธอคิด
จะเห็นได้ว่าหนังของเฮาส์เนอร์นั้นมีความหลากหลายทั้งพล็อตเรื่องและแนวหนัง อย่างผลงานล่าสุด Club Zero เป็นเรื่องของครูสาว (รับบทโดย มีอา วาชิคอฟสก้า) ที่เข้าไปสอนวิชา ‘การกินอย่างมีสติ’ ในโรงเรียนลูกคุณหนู แม้จะเป็นหนังที่ถ่ายทำในประเทศอังกฤษ แต่เฮาส์เนอร์ก็ยังกำกับนักแสดงด้วย ‘โหมดออสเตรีย’ เช่นเดียวกับหนังทุกเรื่อง เหล่านักเรียนในหนังดูนิ่งชาไร้จิตวิญญาณและพร้อมจะเชื่อครูของพวกเขาราวกับถูกสะกดจิต
มีข้อสังเกตว่าตัวละครนำในหนังเฮาส์เนอร์ทุกเรื่องล้วนเป็นผู้หญิง แต่หนังของเธอไม่ได้ชูประเด็นเฟมินิสม์มากนัก แต่มักว่าด้วยผู้หญิงกับ ‘สถาบัน’ อะไรสักอย่าง เช่น ครอบครัว (Lovely) โบสถ์ (Lourdes) แล็บวิทยาศาสตร์ (Little Joe) จนมาถึงโรงเรียนใน Club Zero ซึ่งหนังก็ทั้งแซะและตั้งคำถามกับโรงเรียนระดับอีลีต (elite) ว่ามันเหมือนกับลัทธิอะไรบางอย่าง
แม้จะขึ้นชื่อเรื่องความแข็งความนิ่ง ในหนังของเฮาส์เนอร์ได้รับคำชมว่ามีวิชวลหรืองานด้านภาพที่แข็งแรง หนังของเธอมีภาพจำที่ผู้ชมนึกออกเสมอ เช่น การเล่นกับเงามืดใน Hotel, ต้นไม้ดอกแดงจาก Little Joe, และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดใน Club Zero หนีไม่พ้นชุดยูนิฟอร์มสีเหลืองมะนาวของเหล่านักเรียน ซึ่งการทำงานของเฮาส์เนอร์ก็ประหลาดตรงที่เธอจะเริ่มสร้างหนังจากรูปแบบและสีของเสื้อผ้าเป็นอย่างแรก ซึ่งฝ่ายคอสตูมคือพี่สาวของเธอเอง นอกจากนั้นเธอยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับตากล้องคู่บุญ (สามีของเธอ) ในการวาดสตอรี่บอร์ดและการออกแบบภาพแต่ละฉาก
ส่วนตัวแล้วผู้เขียนได้ดูหนังของเฮาส์เนอร์ครบทุกเรื่องและชื่นชอบงานของเธอพอสมควร แต่สำหรับ Club Zero มันดูจะคมคายน้อยไปสักหน่อย วาทกรรมว่าด้วยการกิน ไม่ว่าจะการลดการกินที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ หรือการบริโภคล้นเกินที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ล้วนถูกถ่ายทอดอย่างตรงๆ ทื่อๆ แต่มองอีกแง่นี่อาจเป็นการเสียดสีวัฒนธรรมอินฟลูเอนเซอร์ที่เน้นการสื่อความแบบปังๆ ให้ไวรัล หรือในฉากที่ตัวละครนักเรียนแถลงถึงอุดมการณ์การกินก็ชวนนึกถึงเหล่าหนุ่มสาวที่ทำลายงานศิลปะตามมิวเซียมเพื่อประท้วงนโยบายน้ำมันของรัฐบาล เขาและเธอประกาศแถลงการณ์อย่างแข็งกร้าวและเชื่อมั่น แม้ว่าผู้คนทั้งโลกจะหัวเราะเยาะกับสิ่งที่พวกเขาทำก็ตาม
แต่ถึงที่สุดแล้วเฮาส์เนอร์ก็ทำสิ่งที่เธอทำได้ดีมาตลอดสำเร็จใน Club Zero นั่นคือการสร้างบรรยากาศแห่งความคลุมเครือและไม่น่าไว้วางใจได้ตลอดเรื่อง เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าพล็อตเรื่องจะดำเนินไปทางไหน เพียงแต่รู้สึกว่าสถานการณ์กำลังไปสู่ความสุดขีด (หรืออาจถึงขั้นหลุดโลก) บางประการ สำหรับผู้เขียนแล้วนี่คือความรู้สึกราวกับว่ามีระเบิดเวลากำลังนับถอยหลังอยู่ในหนัง เพียงแต่เป็นระเบิดที่มองไม่เห็น ไร้ที่มา ไร้ตัวตน ไร้สาเหตุ อาจกล่าวว่า ‘ระเบิดเวลาล่องหน’ คือเวทมนตร์ทางภาพยนตร์ของเฮาส์เนอร์ก็เป็นได้