
เราเดินทางมาเกือบจะสิ้นปีกันอีกแล้ว นอกจาก Winter is coming ตอนนี้ ‘ฤดูท่องเที่ยว is coming’ ด้วยเช่นกัน วันนี้เราจะมาแชร์ 5 เทคนิคสำหรับการถ่ายภาพจากกล้องมือถือกัน งัดเทคนิคและความสามารถของกล้องที่เราอาจยังไม่เคยรู้ออกมาใช้ ถ่ายยังไงให้ออกมาสวยเหมือนมีช่างภาพเดินตามเรา
1. ตาราง 9 ช่องช่วยเราได้มากกว่าที่คิด
เคยสงสัยกันมั้ยครับว่า ทำไมภาพที่ช่างภาพถ่ายมา มันถึงดูดีได้ขนาดนั้น ทำไมเราไปถ่ายเองถึงไม่ได้น่าสนใจเท่ากับรูปที่ช่างภาพถ่ายมาเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะองค์ประกอบ (composition) นั้นคือคีย์สำคัญของการถ่ายภาพเลยก็ว่าได้ ซึ่งในโลกของเรามีทฤษฎีการจัดองค์ประกอบภาพเยอะมากๆ แต่ที่เข้าใจง่ายและใช้งานได้ง่ายที่สุดคือ ‘Rule of Third’ หรือที่คนไทยเรียกว่า ‘ตาราง 9 ช่อง’
ในโทรศัพท์ส่วนใหญ่มีความสามารถในการเปิดตาราง 9 ช่องที่ว่าขึ้นมาได้ บางรุ่นอาจเปิดมาเป็นค่าเริ่มต้นเลย ถ้าเราเปิดกล้องขึ้นมาแล้วพบกับตาราง 9 ช่องอยู่บนหน้าจอ ก็ถือว่าฟังก์ชั่นนี้เปิดใช้งานแล้ว
การใช้งานนั้นง่ายมากๆ โดยหลักการ เราจะพยายามจัดให้ส่วนที่เราต้องการให้ความสนใจถูกวางอยู่ในจุดตัดของตาราง เพื่อทำให้ภาพที่ได้ออกมาสามารถเล่าเรื่องราวของแบบที่ถ่ายอยู่ด้านหน้าและด้านหลังที่เป็นฉากได้
ตัวอย่างเช่น เรามีแบบที่เป็นคน และคนคนนั้นกำลังเล่นน้ำทะเลอยู่ ถ้าเราต้องการเล่าเรื่องว่าคนกำลังเล่นน้ำทะเลอยู่จริงๆ ในภาพจะต้องมีทั้ง ‘คน’ และ ‘น้ำทะเล’ พร้อมกับใช้ Rule of Third โดยการจัดให้คนไปอยู่บริเวณจุดตัด (เช่น ด้านซ้ายล่าง) เพื่อให้เห็นแบบที่กำลังเล่นน้ำ ที่เหลือเป็นน้ำและท้องฟ้าเพื่อให้เห็นว่านี่คือทะเล
กลับกันในการถ่ายภาพวิว ภาพลักษณะนี้ไม่มีตัวแบบชัดๆ เพราะเป็นการเน้นบรรยากาศทั้งหมด ในกรณีนี้เราสามารถใช้ตาราง 9 ช่องเป็นตัวช่วยจัดองค์ประกอบได้เช่นกัน หนึ่งในเทคนิคดีๆ คือใช้การถ่ายภาพแบ่งครึ่ง โดยเราจะแบ่งครึ่งภาพให้ท้องฟ้ากินลงมา 1 ช่องครึ่ง และที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเป็นพื้นดิน เท่านี้ก็น่าจะทำให้เราได้ภาพที่สามารถบอกเล่าบรรยากาศของสถานที่นั้นๆ ได้ดีมากขึ้น หากต้องการความอลังการขึ้นไปอีก สามารถใช้เทคนิคหลอกตาอย่างการถ่ายเสยนิดหน่อย เพื่อให้สถานที่ดูมีขนาดใหญ่ขึ้น คล้ายมุมมองที่เวลาเรามองตึกสูงๆ
2. Levelling กันภาพเอียง
ภาพบางภาพจำเป็นต้องอาศัยความตรงของภาพ ตัวอย่างภาพที่เห็นชัดๆ คือภาพวิว เช่น ภาพที่มีท้องฟ้าและทะเลอย่างละครึ่ง เพราะหากถ่ายเอียง เวลามองจะเหมือนโดนรบกวนจิตใจ มีความเอ๊ะ แปลกๆ นิดหน่อย เพราะเส้นขอบฟ้าทำให้เรารู้สึกว่าเอียง ดังนั้น จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ทำให้เราสามารถถ่ายภาพได้ตรงมากขึ้นนั่นคือ การใช้ levelling
การใช้งานง่ายมากๆ หากทำการเล็งกล้องไปจุดหนึ่ง บนหน้าจอจะมีขีดขึ้นมาบริเวณกลางภาพหากมีขีดเอียงๆ อยู่ ให้ลองเอียงซ้ายหรือขวา หากภาพตรงแล้วก็จะขึ้นเป็นเส้นสีเหลือง แนะนำให้ลองไปดูในคู่มือเพิ่มเติมสักหน่อย เนื่องจากหน้าตาการใช้งานสำหรับสมาร์ทโฟนแต่ละแบรนด์อาจแตกต่างกัน แต่หลักการเป็นเรื่องเดียวกันแน่นอน
3. ลองใช้ Night Mode และแฟลช
กล้องโทรศัพท์ในปัจจุบันมีการพัฒนาขีดความสามารถการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยได้เก่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นฝั่ง iPhone มีความสามารถที่ชื่อว่า Night Mode หรือในฝั่ง Google Pixel เองตั้งชื่อว่า Night Sight ทั้งสองนี้เป็นความสามารถที่ทำให้กล้องโทรศัพท์สามารถถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้นกว่าปกติมาก
ส่วนใหญ่ในโทรศัพท์ที่รองรับการใช้งานความสามารถเหล่านี้ เมื่อมันเห็นว่าเรากำลังถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย ตัวกล้องจะทำการเปิดใช้งานโหมดนี้เองเลย ทำให้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเปิดการใช้งานเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ข้อควรระวังคือ วัตถุที่ถ่ายไม่ควรเป็นวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วๆ และผู้ถ่ายจำเป็นต้องถือโทรศัพท์ให้นิ่ง เพราะเบื้องหลังการทำงานของความสามารถนี้คือการเก็บข้อมูลจากเซนเซอร์ของกล้องให้นานขึ้น (ภาษาช่างภาพเรียก ลากชัตเตอร์ให้นานขึ้น) หากมีการเคลื่อนไหวจะทำให้ภาพออกมาเบลอ
อีกกลไกหนึ่งที่กล้องโทรศัพท์ใช้เพื่อจัดการกับสภาวะแสงน้อย คือ การเพิ่มแสงด้วยการใช้แฟลช (flash) ซะเลย ถ้าใครเคยได้ลองถ่ายจะพบว่า ภาพที่ได้ออกมาอาจจะยังไม่เข้าตา เช่น เอามาถ่ายคน ได้ออกมาเป็นคนผิวมันๆ สะท้อนแสง (ถ้าเอามาถ่ายสัตว์บางชนิดเช่นแมว ตาจะเรืองแสงด้วย) นั่นเป็นเพราะ แหล่งกำเนิดแสงของแฟลชคือบริเวณด้านหลังโทรศัพท์ของเราเอง ทำให้แสงตกกระทบกับแบบตรงๆ ทางด้านหน้า แตกต่างจากแสงธรรมชาติที่อาจจะมาจากกลางหัวเราตอนเที่ยง หรือซ้ายขวาเมื่อพระอาทิตย์ขยับไปเรื่อยๆ ตามช่วงเวลาของวัน ภาพจากแฟลชจึงออกมาดูแปลกตานั่นเอง
วิธีการแก้ไขสถานการณ์ง่ายๆ คือ การใช้วัสดุโปร่งแสงมากั้นเพื่อให้แสงบางส่วนหายไป และแสงบางส่วนเกิดการกระเจิง ไม่เข้าหน้าแบบเต็มๆ วิธีหนึ่งคือการเอากระดาษแก้วตัดเท่าขนาดแฟลชมาแปะไว้ หรือถ้าให้ล้ำกว่านั้น ซื้อกระดาษแก้วที่เป็นสีๆ มาตัดแปะกับโทรศัพท์หลายๆ เครื่องแล้วให้เครื่องอื่นๆ เปิดไฟฉาย ส่วนเครื่องหลักที่ถ่ายให้เปิดแฟลชไป ภาพที่ได้ก็จะแปลกตาและสนุกกว่าเดิม
4. ปรับแสงและโฟกัสให้ถูกต้อง
โดยทั่วไปกล้องทุกตัวจะพยายามปรับแสงและจุดโฟกัส เพื่อทำให้เราได้ภาพที่สว่างเพียงพอ และมีความคมชัดที่สุดในจุดที่เลือกโฟกัส แต่บางครั้งกล้องอาจเลือกไม่ถูกใจเรา ทำให้อีกเทคนิคคือการเลือกจุดโฟกัสและจุดวัดแสงเอง
สำหรับกล้องโทรศัพท์โดยทั่วๆ ไป เพื่อความง่ายจะใช้ จุดโฟกัสเดียวกับจุดที่ใช้ในการวัดแสง หรือกล้องบางตัวเลือกวัดแสงเฉลี่ยทั้งภาพ เป็นการที่กล้องพยายามปรับแสงให้ ทกส่วนของภาพมีแสงที่สามารถเห็นได้ทั้งหมด ไม่มืดสนิทและไม่สว่างเกินไป
หากจุดที่กล้องเลือกไม่ถูกใจ ซึ่งจะเห็นได้จากภาพที่ไม่ชัดในจุดที่ต้องการ เราก็สามารถใช้นิ้วจิ้มบริเวณที่เราต้องการให้โฟกัส และสำหรับ iPhone หรือโทรศัพท์บางรุ่นสามารถเลื่อนขึ้นลง เพื่อเป็นการปรับแสงได้
แต่แน่นอนว่า แสงในโลกความเป็นจริงไม่ได้เป็นแสงที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพตลอดเวลา บางครั้งเจอสภาพแสงที่แตกต่างกันมากๆ เช่น การถ่ายย้อนแสง ที่ด้านหลังสว่างมากๆ และหน้ามืดกันเป็นแถบ เรื่องพวกนี้ถือเป็นข้อจำกัดของกล้อง
วิธีการแก้ไขง่ายๆ อาจจะเป็นการหมุนมุม หันหลบหน่อย หรือบางเคสถ้ากลัวหน้ามืด เราสามารถใช้พระอาทิตย์ที่เป็นศัตรูของเราให้เป็นประโยชน์ได้ด้วยการหันหน้ารับแดดซะเลย ภาพที่ได้หน้าไม่มืดแน่นอน แต่คนโดนถ่ายจะเป็นยังไงนั่นก็อีกเรื่องนะ
5. หน้าชัดหลังเบลอแบบเนียนๆ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อยู่ๆ ก็มีเทรนด์บนกล้องโทรศัพท์เกิดขึ้น หลายคนอยากให้ถ่ายออกมาแล้วมีความหน้าชัดหลังเบลอแบบที่กล้องใหญ่เขาทำกันได้
ในการเกิดเอฟเฟกต์หน้าชัดหลังเบลอของกล้อง แท้จริงแล้วเป็นเรื่องของฟิสิกส์ล้วนๆ ง่ายๆ คือ ยิ่งเซนเซอร์รับภาพขนาดใหญ่, ระยะเลนส์ที่ยาวมากขึ้น, ระยะความห่างของตัวแบบและพื้นหลัง, และรูรับแสงเปิดกว้างมากขึ้นเท่าไหร่ อาการหน้าชัดหลังเบลอยิ่งออกมามากขึ้นเท่านั้น ในกล้องใหญ่จะเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นบ่อยๆ เพราะเซนเซอร์กล้องใหญ่มีขนาดใหญ่กว่ากล้องโทรศัพท์หลักสิบเท่าได้ มีระยะเลนส์ยาวกว่า โดยเฉพาะรุ่นที่เปลี่ยนเลนส์ได้ และรูรับแสงที่ค่อนข้างกว้างตามเลนส์ที่ใส่
ปัญหาคือโทรศัพท์มีเซนเซอร์ที่เล็ก เลนส์ก็ซูมมีระยะยาวๆ เหมือนกล้องก็ไม่ได้ และรูรับแสงทำได้กว้างถึงประมาณหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายถูกจำกัดที่ form factor หรือขนาดของมัน แน่นอนว่า เราไม่อยากถือโทรศัพท์ที่เลนส์กล้องหนาหลายนิ้ว
แต่ผู้ผลิตโทรศัพท์ก็เกิดไอเดียขึ้นมา โดยให้กล้องพยายามหาว่าวัตถุอยู่ตรงไหน แล้วส่วนไหนที่ไม่ใช่วัตถุก็สั่งให้เบลอหลังไปเลย แรกๆ ที่มีฟีเจอร์นี้ออกมาต้องยอมรับว่ารูปภาพไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ แต่พอได้รับการพัฒนามาขึ้น ก็ออกมาดูดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ในปัจจุบันมีโทรศัพท์หลายรุ่นมากที่มีฟีเจอร์หน้าชัดหลังเบลอ ขอยกตัวอย่างเป็น iPhone ที่จะเรียกว่า Portrait Mode เมื่อหาวัตถุเจอ มันจะทำการเบลอส่วนที่เหลือออกทันที ในบางรุ่น มีความสามารถในการเลือกความเบลอได้ด้วยว่าจะให้เบลอหลังมากๆ หรือน้อย ๆ
ภาพดูออกมาเผินๆ สามารถเอาไปใช้ลงในโซเชียลมีเดียได้เนียนๆ แต่ถ้าลองซูมดูตามขอบของวัตถุจะเห็นว่าไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ ขอบดูฟุ้งๆ ยิ่งถ้าเอาไปถ่ายคนที่ผมอาจจะมียุ่งๆ บ้าง พอถ่ายออกมาดันเจอกับอาการหัวเรียบกริบ เพราะกล้องเล่นเบลอเส้นผมที่ยุ่งเกินหัวออกมาหมดเลย
เทคนิคในการแก้ปัญหานี้คือ เดี๋ยวนี้โทรศัพท์มีเลนส์หลายระยะมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราอยากให้มีความหน้าชัดหลังเบลอมากขึ้นให้ใช้เลนส์ที่ระยะแคบๆ หรือบนโทรศัพท์เราชอบเรียกว่า ‘เลนส์เทเล’ (Telephoto lens) พร้อมกับใช้โหมดธรรมดาสามารถช่วยได้ หากยังรู้สึกว่าเบลอไม่พออีก สามารถเพิ่มระยะระหว่างตัวแบบและพื้นหลังได้ โดยให้แบบเดินออกมาจากพื้นหลังมากขึ้น
ภาพทางด้านซ้ายเป็นภาพที่ถ่ายด้วย Portrait Mode และด้านขวาเป็นภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ 3x (Telephoto lens) บน iPhone 14 Pro จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าด้านหลังอาจจะเบลอได้ไม่เท่ากับการใช้ Portrait Mode แต่ถ้าลองซูมดูจริงๆ จะเห็นได้ว่า การเบลอนั้นเนียนกว่ากันเยอะ เพราะเกิดจากกระบวนการธรรมชาติ ทำให้ภาพที่ได้ออกมามีความดูเป็นธรรมชาติมากกว่า
5 เทคนิคที่เอามาแชร์กันในบทความนี้ เป็นเพียงเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เราสามารถถ่ายภาพจากกล้องโทรศัพท์ของเราได้ดูดีขึ้น สวยขึ้น เอาไปใช้งานต่อได้มากมาย แต่แนะนำว่าทั้งหมดที่ได้แนะนำไปใช้เป็นเพียงแค่กรอบในจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะการถ่ายภาพจริงๆ เป็นการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ การเล่าเรื่อง การเก็บความทรงจำโดยใช้ภาพ ดังนั้นมันไม่มีถูกหรือผิด และสุดท้ายขอให้สนุกกับการถ่ายภาพครับ