svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

จดจำผลกระทบของสงคราม ญี่ปุ่นกับการเปลี่ยน ‘ฮิโรชิมา’ เป็นเมืองสันติภาพ

สงครามสร้างความสูญเสียไว้มากมาย การจดจำบาดแผลและผลร้ายของมันคือกระบวนการสำคัญที่จะป้องกันไม่ให้สงครามเกิดขึ้นอีก หนึ่งในนั้นคือการที่ญี่ปุ่นเลือกปรับปรุงเมือง 'ฮิโรชิมา' เพื่อจดจำการสูญเสียและเปลี่ยนให้เมืองเป็นตัวแทนของสันติภาพ

ขณะนี้บางพื้นที่ของโลกกำลังถูกปกคลุมด้วยไฟสงคราม ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในความอดอยากและความวาดกลัว สงครามเป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญของมนุษยชาติ การสู้รบ การฆ่าฟัน และการทำลายล้างหลายครั้งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียและความตายของผู้บริสุทธิ์ หลังจากที่โลกผ่านสงครามสำคัญมามากมาย เราในฐานะมนุษยชาติจึงพยายามสร้างและรักษาสิ่งสำคัญร่วมกันนั่นก็คือการรักษาสันติภาพเอาไว้

‘สันติภาพ’ ฟังดูเป็นคำธรรมดา เป็นสภาวะที่ดูปกติ แต่เมื่อเราเกิดภาวะสงครามและการฆ่าฟันกันขึ้น คำว่าสันติภาพจึงดูเป็นคำและเงื่อนไขที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดขึ้นมา การตื่นตัวเรื่องสันติภาพส่วนหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุคที่มนุษย์เริ่มมีและใช้วิทยาการทางวิทยาศาสตร์ทำให้การสังหารและทำลายซึ่งกันและกันทรงพลานุภาพอย่างไม่เคยมีมาก่อน สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงหลังการทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ เมืองทั้งสองราบเป็นหน้ากลองพร้อมด้วยความตายอย่างทุกข์ทรมานของผู้คนอย่างมากมาย

ในวันที่เราเริ่มมองเห็นความสำคัญของสิ่งที่เราเรียกว่าสันติภาพ ในโอกาสนี้เราจึงอยากชวนมองย้อนไปในห้วงเวลาที่มนุษย์ตระหนักถึงความสำคัญของสันติภาพ ในช่วงเวลาที่เมืองสำคัญเช่นฮิโรชิมากำลังฟื้นตัวและสร้างเมืองขึ้นใหม่ ในช่วงเวลานั้นเอง ฮิโรชิมาได้เกิดภาพจินตนาการและแผนการสร้างเมืองใหม่ขึ้นโดยวางให้ฮิโรชิม่าเป็นดินแดนอุดมคติที่จะคอยย้ำเตือนถึงความสำคัญของสันติภาพ ในนามของเมืองแห่งอนุสรณ์สถานแห่งสันติภาพคือ Peace Memorial City อะไรคือเมืองที่หวังจะให้เป็นที่ๆ คนทั้งโลกมาจดจำและย้ำเตือนถึงความสำคัญของสันติภาพ

ฮิโรชิมา

จากซากปรักหักพัง ถึงจินตนาการเมืองอุดมคติใหม่

ก่อนจะเข้าสู่จินตนาการและการเกิดขึ้นของเมืองสันติภาพอย่างเป็นรูปธรรม เราอาจต้องไปในวันที่ 6 สิงหาคม ปี 1945 วันที่ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกถูกหย่อนลงกลางเมืองฮิโรชิมา ในวินาทีที่ระเบิดจุดอากาศทั้งอาณาบริเวณของเมือง แรงระเบิดและเปลวไฟจากปฏิกิริยาทำให้เมืองฮิโรชิมาที่ส่วนใหญ่เป็นบ้านเรือนและอาคารไม้ราบเป็นหน้ากลอง เป็นครั้งแรกที่มนุษย์มองเห็นพลานุภาพจากวิทยาศาสตร์ของมนุษย์เอง เป็นพลังทำลายล้างที่รุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในวันนั้นแม่น้ำเต็มไปด้วยของร่างผู้คนที่ไหม้เกรียม

เมืองฮิโรชิมาในสมัยนั้นค่อนข้างคล้ายกับการฟื้นตัวของเมืองในญี่ปุ่นที่เราคุ้นเคย แม้ว่าเมืองจะเผชิญกับความตายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ฮิโรชิมาก็เรียกได้ว่าลุกขึ้นได้แทบจะในวันเดียวนั้น ผู้คนเริ่มช่วยเหลือและเก็บกู้สาธารณูปโภคต่างๆ บริการสำคัญ เช่น ไฟฟ้า ธนาคาร รถราง ชุมสายโทรศัพท์ ประปา และอื่นๆ ค่อยๆ กลับมาให้บริการตามความจำเป็นได้ภายในเวลาไม่กี่วัน ความช่วยเหลือจากเมืองข้างเคียงหลั่งไหลมาสู่ฮิโรชิมาแทบจะในทันที และหลังจากที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามในวันที่ 15 สิงหาคม แผนการฟื้นฟูฮิโรชิมาก็เริ่มขึ้นรวมถึงความช่วยเหลือจากนานาชาติ

แม้ว่าเราจะบอกว่าฮิโรชิมานั้นลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ด้วยเงื่อนไขของเมืองฮิโรชิมาและบรรยากาศโดยรวมทางเศรษฐกิจในยุคนั้น ฮิโรชิมาเองก็เรียกได้ว่าค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ ภาษีที่เก็บได้ลดลงกว่า 80% พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองที่เป็นพื้นที่ทางการทหารจากการเป็นเมืองท่าและที่มั่นของฮิโรชิมายังเป็นพื้นที่ของรัฐอยู่
 

ในบรรยากาศหลังสงครามและฮิโรชิมาที่แม้จะเข้มแข็งแต่ก็ซึมเซานั้นเอง ในยุคนั้นมีกวีและนักคิดสำคัญชื่อซานคิจิ โทเกะ (Sankichi Tōge) ผู้รอดชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์ โทเกะเป็นนักคิดและกวีที่เริ่มพูดถึงภาพของเมืองฮิโรมาในอนาคต โดยวาดภาพให้ฮิโรชิมาเป็นเมืองแห่งสันติภาพ เป็นพื้นที่ที่ผู้คนและโลกใบนี้เดินทางมาเพื่อจดจำความสำคัญของสันติภาพ

ฮิโรชิมา

หนึ่งในงานเขียนสำคัญมาจากการประกวดข้อเขียนของสำนักพิมพ์ Chugoku Shimbun ในปี 1946 การประกวดที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นชวนให้ผู้คนร่วมจินตนาการอนาคตของเมืองร่วมกัน ผลคืองานเขียนของโทเกะได้รับรางวัลอันดับหนึ่งในการแข่งขันจากความเรียงชื่อว่า ‘ฮิโรชิมาในปี 1965’ หนึ่งในแกนสำคัญของข้อเขียนคือการที่โทเกะวาดให้ฮิโรชิมาเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพื้นที่สาธารณะ จัตุรัส ลาน พิพิธภัณฑ์ สงบงามไปด้วยธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นที่ๆ ผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและประชากรของโลกจะได้ครุ่นคิดและตระหนักถึงผลของสงครามด้วย ตรงนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งของแนวคิดเรื่องสันติภาพอันเป็นภาพเมืองใหม่ของฮิโรชิมา

ในบางส่วนของข้อเขียน โทเกะได้พูดถึงองค์ประกอบของเมืองเช่นจุดที่ระเบิดตกลงที่จะเป็นศูนย์กลาง โทเกะได้วางให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นจัตุรัสสันติภาพหรือ Peace Plaza “จัตุรัสที่จะสร้างด้วยเหล็กและหินแกรนิต เป็นตัวแทนของโศกนาฎกรรมและเป็นพื้นที่ของการแสดงความอาลัย เป็นที่ๆ เราจะสัมผัสและรู้ซึ่งถึงธรรมชาติของสงคราม” โดยพื้นที่รอบจัตุรัสนั้นโทเกะเขียนว่า “รอบๆ ลานจะประกอบไปด้วยห้องสมุด อาคารแสดงดนตรี พิพิธภัณฑ์ศิลปะ และโถงสำหรับผู้คนที่จะได้รวมตัวกันเพื่อแสดงตัวอุทิศถึงสันติภาพอันสำคัญนี้”

ทั้งนี้โทเกะยังระบุว่าอย่างน้อย 40% ของเมืองควรปกคลุมไปด้วยพืชพรรณหรือพื้นที่สีเขียว และในบันทึกต้นฉบับลายมือของโทเกะยังโน้ตถึงโครงข่ายรถไฟใต้ดิน และระบุว่าเมืองแห่งอนาคตนี้จะเป็นพื้นที่ที่ใช้สาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้ผู้คน “ใช้ชีวิต ทำงาน สันทนาการและสุขภาพ” ในเมืองแห่งสันติภาพ

เป็นที่น่าเศร้าว่าโทเกะมีชีวิตยืนยาวรอเห็นภาพของเมืองฮิโรชิมาในฐานะเมืองแห่งสันติภาพในอีก 20 ปี ตามที่เขาวาดไว้ โทเกะเสียชีวิตลงในปี 1953 ด้วยวัยเพียง 36 ปี ดังกล่าวว่าในช่วงหลังเหตุระเบิดและความพยายามฟื้นฟูฮิโรชิมา ทางเมืองเองก็เห็นด้วยกับภาพฮิโรชิมาในฐานะเมืองสาธารณะและเมืองสันติภาพ แต่ด้วยข้อจำกัดทางการเงินทำให้การฟื้นฟูค่อนข้างชะงักงัน จนถึงปี 1949 ไม่กี่ปีก่อนโทเกะเสียชีวิต การฟื้นฟูเมืองฮิโรชิมาจึงได้เกิดการฟื้นตัวขนาดใหญ่เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นออกแผนฟื้นฟูและตั้งสถานะให้ฮิโรชิมาเป็นเมืองสันติภาพอย่างเป็นทางการ


แผนฟื้นฟูเมือง และบางหน้าตาของเมืองสันติภาพ

ถ้าเราดูตัวเลขปี จากวันที่ฮิโรชิมาหายไปทั้งเมืองเหลือเพียงอาคารปูนราวสองหลังในพื้นที่กลางเมือง วันที่ฮิโรชิมากลายเป็นเมืองสันติภาพอย่างเป็นทางการคือราวสี่ปี นับจากวันที่ถูกระเบิดและประกาศพ่ายแพ้สงคราม อย่างไรก็ตามปี 1949 เป็นปีสำคัญของฮิโรชิมา เพราะในปีนั้นนักการเมืองมองเห็นความสำคัญของฮิโรชิมาและผลักดันจนญี่ปุ่นออกกฎหมายที่ชื่อว่า Peace Memorial City Construction Law ทำให้การฟื้นฟูฮิโรชิมากลายเป็นวาระแห่งชาติ และทำให้ฮิโรชิมามีสถานะพิเศษโดยกฎหมายกำหนดให้ฮิโรชิมาเป็น “เมืองอนุสรณ์สถานของสันติภาพ เป็นสัญลักษณ์ของความคิดของมนุษย์เราที่จะตามหาสันติภาพที่แท้จริงและร่วมกันทำนุบำรุงสันติภาพเอาไว้”

หลังได้สถานะอย่างเป็นทางการ อย่างแรกที่สุดคือฮิโรชิมาได้รับทุนสนับสนุนในทันทีที่ 31 ล้านเยนและ 180 ล้านเยนในปีต่อมา รัฐบาลญี่ปุ่นทำการสนับสนุนการสร้างสาธารณูปโภคของเมืองสันติภาพใหม่ที่ราว 2 ใน 3 พื้นที่สำคัญๆ เช่นสวนอนุสรณ์สถานสันติภาพและพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพได้รับการสนับสนุนงบประมาณโดยรัฐบาลหลักของประเทศ

นอกจากเงินสนับสนุนแล้ว เนื้อหาสำคัญอีกประการในกฎหมายสร้างเมืองสันติภาพใหม่คือการที่รัฐมอบพื้นที่ที่เคยเป็นของภาครัฐ ซึ่งพื้นที่ใจกลางเมืองเช่นบริเวณปราสาทฮิโรชิมารวมถึงพื้นที่ท่าเรือล้วนเคยเป็นพื้นที่ของรัฐบาล การเปิดพื้นที่ดังกล่าวให้กับเมืองและให้พัฒนาใช้งานได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเป็นการปลดล็อกพื้นที่ไปสู่การสร้างเมืองใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างสำคัญเช่นการสร้างย่านโมโตมาชิ (Motomachi) ซึ่งอยู่กลางเมืองขึ้นใหม่ ย่านนี้แต่เดิมเป็นพื้นที่ทางการทหาร ตามแผนจะสร้างเป็นสวนขนาดใหญ่ แต่ด้วยหลายเงื่อนไขเช่นการขาดแคลนที่อยู่อาศัย จากสวนขนาดใหญ่จึงสร้างเป็นสวนที่ประกอบด้วยสาธารณูปโภคอื่นๆ เช่นบ้านพักอาศัยแนวตั้ง (public housing) ไปจนถึงที่ทำการต่างๆ ของรัฐ 

หลังจากที่เปิดพื้นที่และให้งบแล้ว พื้นที่เช่นบริเวณใจกลางเมืองที่ระเบิดลงก็กลายเป็นสวน Peace Memorial Park แม่น้ำที่เป็นหัวใจของเมืองก็ค่อยๆ ถูกพัฒนาเป็นแนวพื้นที่สีเขียว ตรงนี้เองที่ภาพของฮิโรชิมาใหม่ค่อนข้างสอดคล้องกับจินตนาการที่ถูกวาดไว้ในอุดมคติ

Peace Memorial Park


ถนนสายสันติภาพและโดมที่เป็นปัญหาของความทรงจำ

ในรายละเอียดเมืองสันติภาพนอกจากการปรับพื้นที่เป็นพื้นที่สีเขียวเช่นสวน ลานและพื้นที่สาธารณะอื่นๆ การปรับพื้นที่จากการสร้างใหม่ที่น่าสนใจซึ่งเป็นการใช้โอกาสที่ญี่ปุ่นจะสร้างพื้นที่เมืองขึ้นใหม่จากภาวะสงคราม หนึ่งในนั้นคือความพยายามจะสร้างถนนที่มีระยะความกว้าง 100 เมตรซึ่งเป็นแผนตั้งแต่ปี 1946 ฮิโรชิมาเองก็มีแผนการพัฒนา สำหรับฮิโรชิมาการปรับระยะถนนเป็นแกนหนึ่งของการสร้างเมืองใหม่ ภายหลังจากเป้าหมายถนน 100 เมตร ทางเมืองก็ปรับลดลงเหลือ 50-100 เมตร

จดจำผลกระทบของสงคราม ญี่ปุ่นกับการเปลี่ยน ‘ฮิโรชิมา’ เป็นเมืองสันติภาพ

ถนนระยะ 100 เมตรเป็นอุดมคติที่น่าสนใจ คือจะเป็นการปรับโครงข่ายหรือพื้นที่ถนนให้เป็นพื้นที่ที่เรียกว่า boulevard สำหรับฮิโรชิมาเองก็สามารถปรับถนนสายหลักของเมืองได้ ถ้าเรามองผังโครงข่ายถนนเดิมของฮิโรชิมา เมืองฮิโรชิมาได้รับอิทธิพลการวางผังและโครงข่ายถนนจากบริบทสงคราม โดยถนนของเมืองและแม่น้ำจะทำการแบ่งพื้นที่เมืองออกเป็น 12 โซน โดยเป้าหมายหนึ่งของการแบ่งโซนคือการควบคุมความเสียหายเมื่อเกิดการทิ้งระเบิดหรือเพลิงไหม้ ถนนจะทำหน้าที่สกัดพื้นที่ความเสียหายไว้ในแต่ละบล็อกของเมือง

การสร้างเมืองใหม่ของฮิโรชิมายังใช้โครงข่ายถนนเดิม โดยถนนสร้างหลักที่ตัดขวางกลางเมืองแต่เดิมถูกออกแบบให้เป็นแนวถนนที่ทำหน้าที่แบ่งเมืองฝั่งบนและล่างออกจากการกันซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวควบคุมเพลิง ทางเมืองได้ใช้มรดกจากยุคสงครามด้วยการขยายถนนดังกล่าวให้เป็นระยะ 100 เมตรและกลายเป็นถนนใจกลางเมือง ในที่สุดถนนที่ร่มรื่นและกว้างขวางก็แล้วเสร็จในปี 1951 และได้ชื่อว่าเป็น Peace Boulevard

Peace Boulevard

จากมรดกโครงข่ายและการปรับถนนที่เคยเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ยุคสงคราม ประเด็นเรื่องมรดกจากความเจ็บปวดและการจดจำก็สำคัญเช่นกัน หนึ่งในนั้นคืออาคารที่ต่อมาได้ชื่อว่า A-Bomb Dome (Genbaku Dome) เพราะการสร้างเมืองใหม่ของฮิโรชิมาส่วนใหญ่คือการสร้างใหม่ขึ้นมาจริงๆ แต่ก็มีส่วนน้อยมากๆ คืออาคารก่ออิฐถือปูนที่มีราวสองอาคารที่เหลือเพียงซาก นักผังเมืองเองก็เจอปัญหาในการวางผังและสร้างเมืองใหม่ว่า แล้วเราจะทำอย่างไรกับพื้นที่ที่เป็นเหมือนบาดแผลความทรงจำเหล่านี้

A-Bomb Dome

การมีอยู่ของซากอาคารกลายเป็นประเด็นถกเถียงที่สำคัญ เจ้าอาคารที่เคยเป็นศูนย์ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ด้านอุตสาหกรรมของเมืองนี้กลายเป็นที่ๆ ผู้รอดชีวิตหลายคนบอกว่าในการสร้างเมืองใหม่ควรสร้างใหม่ทั้งหมด พื้นที่เหล่านี้เป็นความทรงจำที่ร้ายแรงเกินไป ไม่อยากเห็นและไม่อยากจดจำอีก แต่ในที่สุดอาคารแห่งนี้ก็ได้รับการอนุรักษ์ไว้และสร้างโดมครอบใหม่ ตัวโดมแห่งนี้นับเป็นความทรงจำที่มีชีวิตของพลานุภาพและการทำลายล้างของระเบิดนิวเคลียร์จากสงครามที่ผ่านมา

A-Bomb Dome
การมองย้อนไปในระดับแผนการสร้างเมืองใหม่เพื่ออุทิศให้กับสันติภาพ อย่างแรกที่สุดคือการที่เราได้มองเห็นความสำคัญของสันติภาพ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ที่ทั้งเพื่อเยียวยาและสร้างตัวตนขึ้นใหม่หลังจากที่เมืองถูกทำลายจากสงครามและความขัดแย้ง การนึกถึงฮิโรชิมาหรือเมืองอื่นๆ ในฐานะหมุดหมายและการรำลึกถึงความสำคัญและการรักษาสันติภาพจึงอาจเป็นอีกหนึ่งความคิดคำนึงที่น่ารำลึกถึงตามเป้าหมายของเมืองที่เคยเป็นผู้ประสบภัย

ฮิโรชิมา

ในอีกลำดับ การพัฒนาหรือสร้างเมืองขึ้นใหม่ของฮิโรชิมานับเป็นอีกหนึ่งการฟื้นตัวและการใช้โอกาสจากวิกฤติต่างๆ การสร้างเมือง ตัวตน รวมถึงภาพชีวิตใหม่ๆ จากการความเสียหายไม่ว่าจะเป็นจากสงครามหรือภัยธรรมชาติ การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วไปจนถึงการมุ่งไปสู่การพัฒนาใหม่ๆ เช่นการจินตนาการถึงเมืองสีเขียว เมืองที่พื้นที่สาธารณะเป็นหัวใจ ไปจนถึงเมืองคุณภาพชีวิตที่เกิดขึ้นในยุคการพัฒนาเมืองในทศวรรษ 1950 นับเป็นภาพเมืองที่ล้ำสมัยและกลับมาให้ความสำคัญกับผู้คนและชุมชน รวมถึงเป็นจินตนาการถึงบทบาทของเมืองในระดับนานาชาติ เป็นเมืองที่มีความเป็นอุดมคติและเป็นหมุดหมายของการรักษาอุดมคติคือสันติภาพของมนุษยชาติไว้ ถือเป็นการปรับตัวและฟื้นตัวจากความเสียหายอย่างรุนแรงได้อย่างน่าสนใจ

 


ข้อมูลอ้างอิง