
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาว่า กองทัพปฏิบัติหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว และการเมืองควรให้การสนับสนุน แต่ปัญหาชายแดนจะแก้โดยกองทัพเพียงลำพังไม่ได้ เพราะจะต้องควบคู่กับการทูต และการต่างประเทศ รวมไปถึงการสร้างความเข้าใจที่ดี ซึ่งตนเองก็กังวลกับทิศทางของรัฐบาล ที่จะนำข้อตกลง MOU43-44 ไปผูกไว้กับการออกเสียงประชามติ และตนก็หวังเห็นการทำงานเชิงรุกกว่านี้
นายอภิสิทธิ์ ยังยอมรับด้วยว่า ในการไปรับประทานอาหารร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีตามภาพที่ปรากฏออกมาก่อนหน้านี้ ตนได้ฝากให้นายกรัฐมนตรี ระวังกัมพูชา เพราะกัมพูชา จะใช้ทุกเวทีระหว่างระเทศเพื่อความได้เปรียบ ดังนั้น จึงอย่าตั้งรับเพียงอย่างเดียว และจะต้องทำงานเชิงรุก เพราะกัมพูชารุกมาก และไทยจะต้องรุกให้มากเช่นกัน เพื่อให้กองทัพสามารถทำงานได้ง่าย ไม่ถูกต่างประเทศกดดัน เพราะที่ผ่านมา ประเทศไทยตั้งรับมานาน จึงอยากให้ทำงานเชิงรุกบ้าง เพราะสถานะประเทศไทยบนเวทีโลก ประเทศไทยมีบทบาทได้มากกว่าที่เป็นอยู่
นายอภิสิทธิ์ ยังเห็นว่า การออกเสียงประชามติ MOU43-44 รัฐบาลได้ผูกไว้เป็นนโยบายของรัฐบาลแล้ว ทั้งที่มีรายละเอียดข้อตกลงมาก และไม่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ซึ่งในการให้ข้อมูลกับประชาชนในการออกเสียงประชามตินั้น จะกลายเป็นว่า อยากให้ประชาชนรู้เพื่อตัดสินใจการออกเสียงประชามติ แต่จะกลายเป็นว่า กัมพูชาก็จะรู้ไปด้วย ดังนั้น ถ้ารัฐบาลยังยืนยันเดินหน้าจะยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ ก็จะต้องมีทางเลือก และมียุทธศาสตร์ให้ประชาชนรับทราบด้วยว่า หากไม่มี MOU แล้ว จะมีทางเลือกใดต่อ เพื่อให้ประชาชนรับทราบ และเพื่อความเป็นธรรมกับประชาชนในการตัดสินใจ