
17 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 18-25 ตุลาคม 2568 จะมีการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา (ประชุม IPU) ครั้งที่ 151 หรือการประชุมรัฐสภาโลก ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยประเทศไทยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา นำทีมเข้าร่วมประชุม ที่จะถึงนี้ด้วย โดยหัวข้อ หรือ “ธีมหลัก” ของการประชุมครั้งนี้ คือ “ยืนหยัดมาตรฐานมนุษยธรรมและสนับสนุนการดำเนินการด้านมนุษยธรรมในช่วงวิกฤต”
กรอบการประชุมจะมีหารือและรับรองข้อมติต่างๆ ตามระเบียบวาระที่ชาติสมาชิกเสนอ ทั้งจะมี Emergency item หรือ "ระเบียบวาระฉุกเฉิน" ซึ่งหมายถึงประเด็นเร่งด่วนที่สำคัญในระดับระหว่างประเทศซึ่งเพิ่งเกิดขึ้น และจำเป็นต้องได้รับการดำเนินการอย่างเร่งด่วนจากประชาคมโลก
โดยการประชุม IPU รอบนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เตรียมเสนอ Emergency item ในเรื่อง “การจัดการปัญหาสแกมเมอร์” โดยล่าสุดได้เตรียมผลักดันในเชิงรุก ด้วยการส่งหนังสือจากประธานรัฐสภาไทย ขอเสียงสนับสนุนจากชาติสมาชิกทั่วโลก เพื่อให้ช่วยผลักดันร่างแผนปฏิบัติการในการจัดการปัญหาสแกมเมอร์ เป็นระเบียบวาระเร่งด่วน เพื่อให้ชาติสมาชิกได้หารือ และรับรองเป็นข้อมติสำคัญของการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 151
ข้อมติเรื่อง "การเสริมสร้างบทบาทของรัฐสภาในการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ข้ามพรมแดนควบคู่กับการธำรงไว้ซึ่งหลักมนุษยธรรม" ซึ่งคณะผู้แทนไทยเป็นผู้เสนอ ได้เน้นย้ำถึงการเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนของอาชญากรรมทางไซเบอร์ในระดับโลก และผลกระทบต้านมนุษยธรรมที่ร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากอยู่ในกระบวนการค้ามนุษย์และถูกบังคับให้เข้าร่วมขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ในสภาพที่คล้ายการเป็นทาส
มติดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า อาชญากรรมทางไซเบอร์ไม่เพียงเป็นปัญหาทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นความท้าทายด้านกฎหมายและการเมืองที่จำเป็นต้องได้รับการดำเนินการอย่างเร่งด่วนจากรัฐสภาทั่วโลก มติดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐสภาเร่งปรับปรุงกฎหมายภายในประเทศให้ทันสมัย เพื่อกำหนดโทษต่อการบังคับให้การกระทำความผิดทางไซเบอร์ ปิดช่องโหว่ของระบบการเงินดิจิทัล และกำกับดูแลภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิด พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเพิ่มกลไกตรวจสอบการปฏิบัติงานของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
เสริมสร้างความร่วมมือข้ามพรมแดนผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น องค์การตำรวจสากล (INTERPOL) สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) และสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงได้ (ASEAN) รวมถึงการนำแนวทางที่ให้ความสำคัญกับเหยื่อเป็นศูนย์กลางมาปรับใช้ เพื่อให้การช่วยเหลือ ฟื้นฟู และคืนสู่สังคมเป็นไปอย่างยั่งยืน
มติตัวกล่าวยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัจจัยอันเป็นแก่นแท้ของปัญหา เช่น ความยากจน การทุจริตและการขาดช่องทางการย้ายถิ่นที่ถูกกฎหมาย ตลอดจนการเสริมสร้างกฎระเบียบในการกำกับดูแลสกุลเงินดิจิทัลและการไหลเวียนของเงินทุนข้ามพรมแดน พร้อมทั้งส่งเสริมการสนทนาและความร่วมมือระหว่างรัฐสภา ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ได้โดยไม่ละเมิดสิทธิทางดิจิทัล
สุดท้าย มติดังกล่าวได้เรียกร้องให้ สหภาพรัฐสภา (Inter-Parliamentary Union: IPU) จัดตั้ง คณะทํางานเฉพาะกิจว่าด้วยศูนย์หลอกลวงและอาชญากรรมทางไซเบอร์ข้ามชาติ เพื่อทำหน้าที่ติดตามการดำเนินการและส่งเสริมความร่วมมือทางกฎหมายระหว่างรัฐสภาต่างๆ อันจะนำไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัย มั่นคง เคารพสิทธิมนุษยชน และมีมนุษยธรรมอย่างแท้จริง