svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เพื่อไทย เตรียมชำแหละ รมต.อนุทิน1 หึ่งมีคนถูก ป.ป.ช.ชี้มูล

เพื่อไทย เตรียมชำแหละรัฐมนตรี หึ่งมีคนถูก ป.ป.ช.ชี้มูล จี้ต่ออายุโครงการนำร่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย (สายสีแดง-สายสีม่วง) ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน

21 กันยายน 2568 ที่พรรคเพื่อไทย นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงการเดินหน้าแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในหมวด 15 ว่าด้วยการจัดให้มีกลไกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมการประชุมกับคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ โดยทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ได้เสนอแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 15 เพื่อเปิดช่องทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งสองพรรคมีความคิดเห็นร่วมกันว่าจะต้องเพิ่มเติมแนวทางเพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และในส่วนของพรรคเพื่อไทยเองก็ได้มีการจัดเตรียมร่างดังกล่าวไว้แล้ว พร้อมที่จะเข้าชื่อเพื่อนำเสนอต่อรัฐสภาต่อไป

 

แต่ที่ยังไม่ชัดเจนคือ การเสนอแนวทางของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งยังไม่ได้มีการส่งตัวแทน หรือข้อเสนอของพรรคเข้ามาเพื่อพิจารณา แม้ทาง สส.พริษฐ์ วัชรสินธุ พรรคประชาชน ได้ชี้แจงแทนว่า ทางท่าน ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตัวแทนของพรรคภูมิไทย ติดภารกิจ ไม่สามารถร่วมประชุมได้นั้น

พรรคเพื่อไทยจึงขอเรียกร้องไปยังพรรคภูมิใจไทย ตลอดจนทั้งพรรคประชาชน ด้วยอีกทาง ว่าควรเร่งรัดให้พรรคแกนนำรัฐบาลกระตือรือร้นออกแบบแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการได้มาซึ่ง สสร. โดยเร็ว เพราะถ้ายืดเยื้อออกไปอีกอาจจะไม่ทันกรอบระยะเวลา 4  เดือน ตาม MOA ที่ทั้ง 2 พรรครับปากกับพี่น้องประชาชนไว้

 

อีกทั้งเงื่อนไขสำคัญของการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือจะต้องได้เสียง สว. 1 ใน 3 มาร่วมเห็นชอบด้วย ก็หวังว่าพรรคประชาชน ในฐานะผู้ร่วมรับรองนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน จะสามารถเจรจากับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้กำกับสมาชิกวุฒิสภา ที่ทางพรรคประชาชนเองเรียกว่าเป็น สว.สีน้ำเงิน ให้แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการเปิดทางให้กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ด้วย

 

ส่วนข้อสังเกตจากบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่าง พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย หรือที่เรียกว่า MOA ส้ม-น้ำเงิน ว่า ขณะนี้พี่น้องประชาชนเห็นสัญญาณที่ชัดเจนในการ เร่งเติมเสียงของพรรคภูมิใจไทย โดยมีนักการเมืองจากพรรคต่างๆ เปิดตัวเข้าร่วมงานการเมืองมากขึ้น แต่น่าแปลกใจที่ตัวแทนจากพรรคประชาชน อย่าง นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กลับมองไม่เห็น

ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย

 

อีกทั้งยังมีความพยายามให้สัมภาษณ์ ยืนยันข้ามพรรคด้วยว่า พรรคภูมิใจไทยยังไม่ได้พยายามรวมเสียงข้างมาก และยังไม่เป็นสัญญาณที่จะทำให้เกิดเสียงเพิ่มเติมในฝ่ายรัฐบาล จนหลายฝ่ายเริ่มสับสนว่า นายปกรณ์วุฒิ นี่เป็น รองหัวหน้าพรรคประชาชน หรือ โฆษกพรรคภูมิใจไทย คนใหม่กันแน่  

 

นอกจากนี้ การที่นายปกรณ์วุฒิ พยายามช่วยชี้แจงแทนพรรคภูมิใจไทยอย่างเข้มแข็งว่า รัฐบาลเสียงข้างมากจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพรรคฝ่ายค้าน หนึ่งในสองพรรคใหญ่คือ พรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาชน ต้องไปให้การสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล พร้อมชี้ถึงกรณีที่มี สส. พรรคเพื่อไทย 9 เสียง ที่ไม่โหวตตามมติพรรคนั้น พรรคประชาชน ต้องเข้าใจว่า ข้อตกลงรัฐบาลเสียงข้างน้อยของสีส้มและสีน้ำเงินนั้น พรรคเพื่อไทยไม่ได้ร่วมรับผิดชอบอะไรด้วย

 

และในข้อเท็จจริงคือ แม้จะมี สส.พรรคเพื่อไทย 9 คน สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลนั้น แต่พรรคประชาชน คือ คนที่โหวตหนุน นายอนุทิน แบบยกพรรค และต้องร่วมรับผิดชอบต่อการดำเนินการของรัฐบาลนี้เอง เพราะคนเริ่มครหาแล้ว ว่ารัฐบาลนี้ ไม่ได้ตั้งมาเพื่อยุบสภา แต่ตั้งมาเพื่อยุบคดีสีน้ำเงิน มากกว่า ดังนั้น เราจึงได้ออกแถลงการณ์ไปตั้งแต่เมื่อวาน

 

“พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าเรามีทั้ง สส. คนรุ่นใหม่ ที่มุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน และ สส. รุ่นใหญ่ที่มากประสบการณ์ พร้อมประสานงานกับพรรคประชาชนในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างแน่นอน แต่ขอไม่รับตำแหน่งกรรมการวิปฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาชน

 

เพราะรัฐบาลนี้ตั้งขึ้นด้วยกลไกแปลกประหลาด มีผู้นำฝ่ายค้าน ที่หามแคนดิเดตจากพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเสลี่ยง มีประธานวิปฝ่ายค้าน ที่ทำหน้าที่เสมือนโฆษกพรรคภูมิใจไทย อีกทั้งยังให้ สส. กว่า 140 คน แบกองค์ประชุมแทนรัฐบาล แทบทุกวัน ขัดกับที่เคยป่าวประกาศมาโดยตลอด ว่าการรักษาองค์ประชุมเป็นหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้น จึงต้องตั้งคำถามว่า วิปที่ตั้งขึ้นมานี้ คือวิปฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้ำ ค้ำยันให้รัฐบาลสีน้ำเงินกันแน่

 

พรรคเพื่อไทย เรายืนยันว่าจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่ ไม่มีกั๊ก ไม่อ่อนข้อให้ใคร ตั้งแต่วินาทีแรก และเราไม่ผูกมัดกับกรอบเวลา 4 เดือน ตาม MOA สีน้ำเงินอมส้ม ที่เป็นระยะเวลาสมประโยชน์กันของพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น

 

เพราะเราไม่มีพันธะสัญญาผูกพันใดๆกับใครทั้งในที่แจ้ง หรือในที่ลับระหว่างพรรค ก็ตาม และเรามุ่งมั่นที่จะรับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชนเท่านั้น ซึ่งเราจะแสดงบทบาทฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ให้เห็นในการอภิปราย การแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้อย่างแน่นอน

 

สำหรับรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของพรรคภูมิใจไทยว่า พรรคเพื่อไทยหวังว่ารัฐบาลใหม่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติเป็นที่ตั้ง มากกว่ายึดถือผลประโยชน์ของกลุ่มพวกพ้อง หรือมีเจตนาในการเข้ามาสะสางปัญหาทางคดีความที่พรรคภูมิใจไทยกำลังเผชิญ

 

เพราะวันนี้สิ่งที่พี่น้องประชาชนรวมไปถึงสื่อมวลชนแสดงความกังวลต่อรายชื่อรัฐมนตรีที่ปรากฏ คือ เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และผลประโยชน์ทับซ้อน รวมไปถึงความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกลุ่มอิทธิพลการเมือง ไม่ใช่แค่รัฐมนตรีสายล่อฟ้า แต่เป็นรัฐมนตรีปราสาทสายฟ้าคอนเนคชั่น ที่อาจเข้าไปสร้างปัญหาให้กับการตรวจสอบและดำเนินคดีของหน่วยงานต่างๆ

 

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทย ได้เตรียมทีมงาน สส. ของพรรค ในการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่ออภิปรายในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยแยก 2 กลุ่มประเด็นใหญ่ คือ  

 

1.นโยบายที่นายกรัฐมนตรีจะแถลงต่อรัฐสภา โดยจะลงรายละเอียดที่ประเด็นสำคัญคือ การบริหารราชการแผ่นดินภายในช่วงเวลา 4 เดือน ตามที่รัฐบาลได้ทำสัญญาไว้กับพรรคประชาชน รวมทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ และการทำประชามติ และ

 

2. คุณสมบัติของรัฐมนตรีแต่ละคนในครม.อนุทิน1 ความรู้ความสามารถ รวมไปถึงหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทั้งในประเด็นคดีบุกรุกที่ดินเขากระโดง และคดีฮั้ว สว. รวมทั้งรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่มีข้อครหาเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ สุจริตอย่างเป็นที่ประจักษ์ จากพี่น้องประชาชน หรือถูกชี้มูลความผิดโดย ปปช. แต่ได้รับตั๋วช้างสีส้ม จากพรรคประชาชนให้เข้าสู่ตำแหน่ง ซึ่งต้องได้รับการวินิจฉัยในมาตราฐานเดียวกันกับที่รัฐบาลเพื่อไทยเคยถูกตรวจสอบด้วย

 

ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย

 

“ประเด็นหลักที่คิดว่าน่าจะเป็นไฮไลท์สำคัญของการอภิปรายวาระการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาครั้งนี้ คือการตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า การที่พรรคภูมิใจไทย พยายามทุกวิถีทาง ยอมทุกอย่างเพื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ในระยะเวลาเพียง 4 เดือนนั้น มีความเกี่ยวข้องอะไรกับคดีฮั้ว สว. และกรณีที่ดินเขากระโดงหรือไม่ เพราะหัวใจสำคัญของสองเรื่องนี้ หากกระบวนการยุติธรรมได้เดินไปตามกลไกระบบปกติ เรื่องนี้อาจไปถึงทำให้ถึงจุดจบของพรรคการเมืองบางพรรคเลยก็ได้”

 

ในส่วนของโครงการนำร่อง รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ในสายสีแดง และสายสีม่วง ที่ดำเนินโครงการมาตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 2566 หรือเกือบ 2 ปี และอาจจะต้องยุติลง แล้วกลับไปใช้ค่าโดยสารในราคาเดิมตามปกติซึ่งมีค่าโดยอัตรา สูงสุดอยู่ที่ 42 บาท เนื่องจากยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า รัฐบาลภูมิใจไทยจะพิจารณาต่ออายุให้กับโครงการนี้หรือไม่

 

พรรคเพื่อไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลใหม่จะสานต่อสิ่งดีๆ ที่รัฐบาลเพื่อไทยได้ทำไว้ เพราะเป็นประโยชน์กับประชาชน และเชื่อว่า รัฐบาลจะเลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประชาชนมากกว่าการปฏิเสธบางโครงการเพียงเพราะเคยเป็นโครงการของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย  

 

จึงอยากเรียกร้องรัฐบาลใหม่ ให้มีมติในการประชุม ครม. นัดแรก เดินหน้าสานต่อโครงการนำร่องดังกล่าวต่อไป เนื่องจากโครงการนี้ มีประชาชนที่อาศัยอยู่ย่านเมือง ได้ประโยชน์จากโครงการนี้แสนกว่าคน และที่สำคัญเมื่อการดำเนินโครงการนี้ ไม่ได้ใช้งบประมาณมากมาย

 

อ้างอิงข้อมูลเมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา พบว่า รถไฟฟ้าสายสีม่วง มีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยในวันธรรมดาประมาณ 81,000 - 88,000 คน/วัน ส่วนรถไฟฟ้าสายสีแดง มีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยในวันธรรมดา ประมาณ 41,000 - 45,000 คน/วัน

 

ซึ่งเมื่อมีผู้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น ก็ยิ่งที่ให้รัฐจ่ายชดเชยลดลงไปเท่านั้น ดังเช่นเมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา ท่านสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เปิดเผยข้อมูลว่า หลังจากมีการดำเนินโครงการนี้ ทำให้รถไฟฟ้าทั้งสองสาย มีรายได้เพิ่มขึ้น 12.28% เพราะเมื่อจำนวนผู้โดยสารเพิ่ม รายได้ก็เพิ่มขึ้นด้วย หมายความว่ารัฐจะจ่ายค่าชดเชยน้อยลง หรืออาจจะไม่ต้องชดเชยเลย หากจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก

 

ดังนั้นหากรัฐบาลชุดนี้ไม่สานต่อนโยบาย 20 บาทตลอดสาย พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะกลับไปผลักดันนโยบายนี้เองให้สำเร็จ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการลดค่าใช้จ่ายและยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างแน่นอน