
21 กันยายน 2568 มีประเด็นพิพาทไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับเรื่อง “MOU 43 และ MOU 44” ที่มีบางฝ่ายเรียกร้องให้ไทยยกเลิก และยังมีกระแสโจมตีไปถึง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า สมัยเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลประชาธิปัตย์ ได้นำเอ็มโอยูนี้ ไปขึ้นทะเบียนกับสหประชาชาติ ทำให้มีผลเหมือนเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ มีกระแสโจมตีรุนแรงว่า เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ทำให้ไทยเสียเปรียบ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เรื่องนี้ถูกหยิบขึ้นมาพูดหนักขึ้น ช่วงที่มีข่าวคุณอภิสิทธิ์ อาจหวนมาลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หลังคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน ลาออกไป
แต่ตัวคุณอภิสิทธิ์ ยังไม่เคยออกมาอธิบายเรื่องนี้ ส่วนอีกคนหนึ่งที่รู้ดีมากไม่แพ้กัน คือ อาจารย์ปณิธาน วัฒนายากร อดีตโฆษกรัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ และมีส่วนสำคัญในงานด้านความมั่นคงยุคนั้นด้วย
อาจารย์ปณิธาน อธิบายเรื่องนี้ว่า การลงทะเบียนเอกสารที่เป็นข้อตกลงระหว่างสองประเทศในสหประชาชาติ เป็นกระบวนการที่ต้องทำอยู่แล้ว มิฉะนั้นเวลามีข้อพิพาทระหว่างสองประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจะไม่มีฐานข้อมูลอ้างอิงในสหประชาชาติ ทำให้การต่อสู้ หรือแก้ต่างข้อพิพาท ทำได้ยาก
ยกตัวอย่าง เวลามีปัญหาละเมิดเอ็มโอยู กัมพูชาจะไปฟ้องศาล เหมือนตอนที่ไปเสนอตีความอาณาบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร เมื่อกัมพูชาฟ้องศาลโลก กระทรวงการต่างประเทศก็ต้องนำเอ็มโอยูไปตรวจสอบฐานข้ิอมูลของสหประชาชาติ เพื่อทำให้ฝ่ายไทยมีข้อต่อสู้ แต่ถ้่าไทยไม่นำเอกสารนี้เข้าไปเป็นเอกสารของสหประชาชาติ ก็จะไม่อยู่ในระบบ และไทยก็ป้องกันตัวเองไม่ได้ กระบวนการดำเนินการเรื่องนี้ไม่ใช่รัฐบาล แต่เป็นฝ่ายปฏิบัติ คือกระทรวงการต่างประเทศ
คำถามต่อมา ก็คือ เมื่อนำเอ็มโอยูไปขึ้นทะเบียนกับสหประชาชาติแล้ว ทำให้เอ็มโอยูมีน้ำหนักเป็นสนธิสัญญาขึ้นมาหรือไม่
อาจารย์ปณิธาน อธิบายว่า นักกฎหมายระหว่างประเทศยืนยันว่าเป็นขั้นตอนปกติ และไม่ได้เพิ่มน้ำหนักของเอ็มโอยู เนื่องจากนักกฎหมายกลุ่มใหญ่มองว่า เอ็มโอยูมีสถานะเป็นเหมือนสนธิสัญญามาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเป็นข้อตกลงที่ลงนามโดยผู้มีอำนาจตามกฎหมายของทั้งสองประเทศ จุดนี้ทำให้ไทยเองก็งงว่า ที่ผ่านมาเรียกเอ็มโอยูทำไม เหตุใดจึงไม่เรียกสนธิสัญญาไปเลย
อาจารย์ปณิธิาน กล่าวอีกว่า ต่อมาที่ไทยมีปัญหากับกัมพูชา ทำให้บางฝ่ายบอกว่าไม่ควรให้น้ำหนักกับเอ็มโอยู ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามยกเลิก แต่ก็มีบางหน่วยงานคัดค้าน เพราะหากยกเลิก ข้อตกลงต่างๆ ที่เคยทำมา จะหายไปทั้งหมด โดยเฉพาะส่วนที่ไทยเคยได้เปรียบก็จะหายไปด้วย
ฉะนั้นแนวทางที่ดีที่สุดคือ ต้องรักษาความได้เปรียบเอาไว้ แล้วแก้เอ็มโอยูเพิ่มเติม เพื่อให้ไทยมีช่องทางได้เปรียบมากขึ้น เรื่องนี้เป็นการรักษาผลประโยชน์ของแต่ละประเทศ ส่วนที่กัมพูชาได้เปรียบ กัมพูชาก็จะอ้างเอ็มโอยู ส่วนที่ไทยได้เปรียบ ก็หยิบมาอ้างเช่นกัน