
10 กันยายน 2568 ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 2 หรือ 3 ครั้ง จะต้องปรึกษาพรรคประชาชนก่อนหรือไม่ว่า ต้องปรึกษากับสมาชิกรัฐสภาว่า มีความเห็นอย่างไร ขณะนี้ตนเพิ่งได้รับข้อมูลดังกล่าวจากข่าวศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังไม่อ่านรายละเอียด ดังนั้นขออ่านรายละเอียดและสอบถามข้อมูลก่อน
เมื่อถามว่า ระยะเวลา 4 เดือน จะเป็นเงื่อนไขให้ยืดเวลา เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จ ตามที่ตกลงไว้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นคนละเรื่องกัน
เมื่อถามว่า ในการประชุม ครม. นัดแรก จะตั้งไข่เรื่องทำประชามติเลยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทุกอย่างมีไทม์ไลน์ของมันอยู่แล้ว
ส่วนที่อาคารรัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย สส.พรรคประชาชน แถลงข่าวภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย เกี่ยวกับการทำประชามติเพื่อเดินหน้าสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยพรรคประชาชนยืนยันว่า เป้าหมายสำคัญในการแก้ไขปัญหาประเทศควบคู่ไปกับการฟื้นฟูความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ คือ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในข้อตกลง MOA ที่พรรคประชาชนได้จัดทำกับพรรคภูมิใจไทย โดยในวันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องมีการทำประชามติทั้งหมด 2 รอบ ได้แก่
ประชามติรอบที่ 1 เพื่อสอบถามประชาชนพร้อมกันใน 2 ประเด็น ในประเด็นแรก สอบถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และในประเด็นที่สองคือ เห็นด้วยหรือไม่ กับวิธีการและเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ที่รัฐสภาเห็นชอบ
สำหรับการทำประชามติรอบที่ 2 นั้น เพื่อสอบถามประชาชนว่า เห็นด้วยหรือไม่ กับร่างรัฐธธรรนมฉบับใหม่ ที่ได้ผ่านกระบวนการทั้งหมดแล้ว ดังนั้น หลังจากนี้ พรรคประชาชนเห็นว่า ควรเดินหน้าสู่การจัดทำประชามติรอบที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป ที่จะเกิดขึ้นจากการยุบสภาภายในกรอบระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่การแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งจะกระทำการได้หลังจากที่รัฐสภาพิจารณา และให้ความเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เพื่อเพิ่มกลไกในการจัดทำรัฐธธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ พรรคประชาชนจึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้มีการดำเนินการ ดังต่อไปนี้
1. สส.จากแต่ละพรรคการเมือง ควรยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาโดยเร็ว ซึ่งไม่ควรเกินสัปดาห์หน้า เพื่อให้สามารถดำเนินการจัดทำประชามติรอบที่ 1 ได้ทันพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้น หลังจากการยุบสภาภายใน 4 เดือน ซึ่งเป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่ได้มีการตกลงกัน ซึ่งในปัจจุบัน สส.พรรคประชาชน และ สส.พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมต่อประธานรัฐสภา และถูกบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมก่อนหน้านี้แล้ว
ดังนั้น พรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล ควรพิจารณารวบรวมเสียงของรัฐบาล เพื่อยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ของตนเองเข้าสู่รัฐสภาโดยเร็ว และควรมีเนื้อหาที่เป็นการเสนอให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งตามข้อตกลง MOA แม้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่พรรคประชาชนเห็นว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวยังไม่ได้ปิดประตูต่อการมี สสร.ที่มาจากการเลือกตั้ง เนื่องจากรัฐสภาสามารถออกแบบกลไกให้ สสร.ส่งร่างรัฐธธรรมนูญฉบับใหม่ที่ สสร.จัดทำมาที่รัฐสภา ก่อนส่งไปทำประชามติกับประชาชนได้ อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูรายละเอียดในคำวินิจฉัยฉบับเต็มต่อไป
2. สส.จากแต่ละพรรคการเมือง ควรร่วมกันผลักดันให้มีการเปิดประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ในวาระที่ 1 ภายในเดือนกันยายนนี้ โดยไม่จำเป็นต้องรอการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เนื่องจากเป็นกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารโดยตรงการดำเนินการดังกล่าว จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ที่จะทำให้เป้าหมายในการจัดทำประชามติรอบที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นจากการยุบสภาภายในกรอบระยะเวลา 4 เดือน นั้น สามารถเป็นจริงได้
ท้ายนี้ พรรคประชาชนยืนยันว่า จะทำหน้าที่เต็มที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน เพื่อดำเนินการตรวจสอบ เสนอแนะ และผลักดันให้รัฐบาลใหม่ ได้เดินสู่การปลดล็อกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยุบสภาภายใน 4 เดือน ตามที่ได้ตกลงไว้