
โฉมหน้า โผ ครม.อนุทิน1 ที่ปรับรายวัน จนสะเด็ดน้ำ มีทั้งเสียงเลิฟ ที่เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ภูมิใจนำเสนอ ด้วยโปรไฟล์ ประวัติและประสบการณ์ จะเรียกว่า กลุ่มเด็ดดวงก็ว่าได้ ไล่เรียงจาก
เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2568 เปิดตัว เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ว่าที่ รมว.คลัง , สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ว่าที่ รมว.ต่างประเทศ และ อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ CEO ปตท. ว่าที่ รมว.พลังงาน
จากนั้นวันที่ 7 กันยายน 2568 เปิดตัว วรภัค ธันยาวงษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ว่าที่ รมช.คลัง
กระทั่งวันที่ 8 กันยายน 2568 เปิดตัว ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ นักกฎหมายชั้นครู ว่าที่รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย , ศุภจี สุธรรมพันธุ์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ว่าที่ รมว.พาณิชย์
การเปิดตัวรัฐมนตรีคนนอก ที่มีโปรไฟล์เจ๋ง ของเสี่ยหนู อนุทิน ทำให้ ผลทางการเมือง และจิตวิทยาสังคม สร้างกระแสตอบรับจากประชาชนอย่างกว้างขวาง สร้างภาพความเชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่ง แม้ยังไม่ได้เริ่มทำงาน หรือแสดงผลงาน สร้างภาพลักษณ์รัฐบาลนายกฯหนู ไม่ยึดกุมตำแหน่งสำคัญมาแบ่งโควตาทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม และความรู้ความสามารถ แม้จะด้วยเหตุผลมีตำแหน่งเหลือเฟือ เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ตาม ก้าวข้ามเสียงวิจารณ์ “ครม.เต้าหู้ยี้”
เป็นกลยุทธ์สร้างความประทับใจแรกให้กับสังคม โดยเฉพาะคอการเมือง ลดกระแสต่อต้าน ด่าทอ สื่อสารเชิงกลยุทธ์ ไม่พูดเยอะ แต่สร้างอีเวนท์ให้เป็นข่าว และให้สื่อกับสังคมพูดแทนตัวเอง รอพิสูจน์ฝีมือช่วงทำงานจริง
เป็นเค้าลางการสร้างคะแนนนิยม และปลดล็อกทางการเมือง หลังเปิดตัว รัฐมนตรีบางคนประกาศจุดยืน “ชาตินิยม” ไม่เกี้ยเซี้ยกัมพูชาเรียบร้อย
ถอดรหัส : นำกระแสชาตินิยม ประเด็นความมั่นคง ค้ำยันและสร้างความมั่นคงให้กับรัฐบาล
การตั้ง ศ.ดร.บวรศักดิ์ มานั่งเป็นรองนายกฯฝ่ายกฎหมาย สร้างความมั่นใจ 2 เรื่อง คือ 1.รับมือนิติสงคราม และผ่าทางตันประเด็นกฎหมาย และ 2.สางปมแก้รัฐธรรมนูญ และทำประชามติ
เพราะ อาจารย์บวรศักดิ์ คือมือกฎหมายระดับต้นๆของประเทศ เทียบชั้น อาจารย์วิษณุ เครืองาม เคยเป็นประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญให้ คสช. ฉบับก่อนปี 2560 แต่ถูกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โหวตคว่ำ ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับตัวอาจารย์ และมีเรื่องเล่า เสียงเปรยทำนอง “เขาอยากอยู่ยาว” (ซึ่งหมายถึง คสช.ในขณะนั้น ทั้งๆ ที่เปิดเพลงกรอกหูว่า เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน…)
เพราะ อาจารย์บวรศักดิ์ มีความหลังกับการจัดทำรัฐธรรมนูญ และน่าจะต้องการมีรัฐธรรมนูญที่ตัวเองมีผู้ยกร่าง ในห้วงเวลาที่กระแสต้องการกติกาประเทศใหม่เริ่มสุกงอม
เริ่มมีเสียงถาม “ทีมเศรษฐกิจและกฎหมาย” ใช้มือระดับนี้ จะอยู่แค่ 4 เดือนจริงหรือ???
ส่วนกลุ่มห่วงใย ที่อาจถูกวิจารณ์และถูกร้องที่ทำให้กระทบเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลได้ อาทิ สุชาติ ชมกลิ่น หรือ “เสี่ยเฮ้ง” ว่าที่รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม , ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ว่าที่รองนายกฯ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ , ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ว่าที่ รมช.มหาดไทย , พัฒนา พร้อมพัฒน์ ว่าที่รองนายกฯ ควบ รมว.สาธารณสุข , พล.ต.ท.ชาญชัย พงษ์พิชิตกุล ว่าที่ รมว.ยุติธรรม , พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ว่าที่ รมว.กลาโหม กลุ่มนี้ห่วงใยปนหวั่นใจเป็นสายล่อฟ้า
รายแรก “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น เนื่องจากมีโจทย์คนสำคัญอยู่ในพรรคประชาชน ซึ่งโหวตหนุนนายอนุทิน เป็นนายกฯ ทั้ง “ไอซ์” รักชนก ศรีนอก สส.กทม. เขตบางบอน และ คุณสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี
ประเด็นกล่าวหา มีทั้งเรื่องความโปร่งใสเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนประกันสังคม โดยเฉพาะการซื้อตึกสกายไนน์ และคดีค้ามนุษย์แรงงานเก็บเบอร์รี่ ที่ฟินแลนด์
เหมือนจังหวะถูกดึงขา ช่วงตั้ง ครม.มีข่าวศาลที่ฟินแลนด์ เพิ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 5 กันยายน ให้จำคุกอดีตผู้บริหารบริษัทอุตสาหกรรมเบอร์รี่รายใหญ่ของฟินแลนด์ ในข้อหาค้ามนุษย์ โดยมีหญิงไทย ในฐานะผู้ประสานงานการส่งแรงงานไปทำงานเก็บเบอร์รี่ โดนโทษจำคุกด้วย ในข้อหาค้ามนุษย์เช่นเดียวกัน
ข้อกล่าวหานี้ถูกโยงถึง “เสี่ยเฮ้ง” มีการไปร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และดีเอสไอ มีการสร้างกระแสจาก สส.พรรคประชาชนว่า ไม่ควรตั้ง “รัฐมนตรีค้ามนุษย์” แคมเปญนี้ ในจังหวะนี้ จึงพุ่งตรงมาที่ “เสี่ยเฮ้ง”
อีกด้านหนึ่ง มีคำชี้แจงจาก “รมต.เฮ้ง” มาที่กอง บก.เนชั่นทีวี
1.คดีที่ฟินแลนด์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตน ผลของคดีไม่มียึดโยงถึงตน
2.ทางการฟินแลนด์มีมาตรฐานเรื่อง “ค้ามนุษย์” ในบรรทัดฐานสูงเป็นพิเศษ เช่น กำหนดให้ทำงานวันละ 8-12 ชั่วโมง แต่พระอาทิตย์ตกช้า อาจทำให้แรงงานขยายเวลาทำงาน
ห้ามนอนแออัดในตู้คอนเทนเนอร์ มีการกำหนดจำนวนคน หรือห้ามผูกเปลนอน ฯลฯ บางกรณีขัดกับรูปแบบการทำงานจริง เพราะไม่มีอัตราค่าจ้างที่แน่นอน คิดรายได้จากจำนวนเบอร์รี่ที่เก็บ ทำให้แรงงานบางส่วนนอนในสวนเบอร์รี่
3. ช่วงดำรงตำแหน่ง รมว.แรงงาน ได้กำหนดนโยบายเพื่อป้องกันปัญหาการหลอกลวงคนหางานและการค้ามนุษย์อย่างเต็มที่ เช่น ให้นายจ้างหรือผู้ประสานงานต้องดำเนินการประกันรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายให้คนงานไทย โดยวางหลักประกันทางการเงิน (Bank Guarantee) ตามจำนวนที่กรมการจัดหางานกำหนด ณ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเท่านั้น โดยคนงานไทยต้องมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างงาน ในจำนวนที่ต้องไม่ต่ำกว่า 30,240 บาท เป็นต้น
4.การยื่นคำร้องให้ไต่สวนกรณีค้ามนุษย์ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผลการไต่สวนสรุปแล้ว ยุติเรื่องในส่วนของตน สั่งชี้มูลข้าราชการบางส่วนที่เกี่ยวข้อง
5.การพยายามกล่าวหา เป็นประเด็นทางการเมือง จาก สส.ที่มีฐานเสียงเดียวกับตน ต้องรอลุ้นว่า “พิษจากคดีค้ามนุษย์แรงงานเก็บเบอร์รี่” จะส่งผลถึงอดีตรัฐมนตรีแรงงานที่กำลังจะหวนกลับมานั่งเก้าอี้ใหญ่อีกรอบหรือไม่
รายต่อมา ผู้กองธรรมนัส “ผู้กองยอดรัก” หักด่านหวนคืนเก้าอี้ แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่า ไม่มีปัญหาเรื่องจริยธรรมหรือคุณสมบัติ แต่ในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ช่วงตั้งรัฐบาลครั้งแรก และปรับ ครม.ครั้งต่อมา แม้จะมีชื่อ “ผู้กองธรรมนัส” เป็นแคนดิเดต แต่สุดท้ายก็ไม่มีการตั้ง
เรื่องนี้น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “ผู้กอง“ พาพรรคกล้าธรรมพลิกขั้วแบบทั้งพรรค ไม่แตกแถว ซ้ำยังมีงูเห่าแถม
คาดว่าหาก ครม.ปลาสองน้ำ มีชื่อ “ผู้กองธรรมนัส” จะถูกยื่นสอบจริยธรรม หรือคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีอย่างแน่นอน เพราะพรรคส้มเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับการโดนคดียาเสพติดในต่างแดน คือ ออสเตรเลีย มีการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ครั้งนั้นเจ้าตัวรอดมาได้ เพราะศาลไทยไม่ก้าวล่วงคำพิพากษาศาลต่างประเทศ
เป็นที่ทราบกันดีว่า คุณสมบัติที่รอด เป็นเรื่องการถูกดำเนินคดี และถูกคุมขังในคดีอาญา แต่คุณสมบัติที่ยังไม่ถูกพิสูจน์คือ ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมาตรฐานทางจริยธรรมอีก 20 กว่าข้อที่เหลือ
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเฉพาะในแง่การทำงาน ต้องยอมรับว่า ทุกตำแหน่งที่ผ่านมาของ “ผู้กองธรรมนัส” โดยเฉพาะที่กระทรวงเกษตรฯ ต้องบอกว่า ไร้ที่ติ และได้รับคำชมจากหัวหน้ารัฐบาล อย่าง นายเศรษฐา ทวีสิน มาแล้ว
คนต่อมาที่น่าจะตกเป็นเป้าหมายรุมขย้ำจากค่ายสีแดงแน่นอน คือ คุณศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย ที่พลิกขั้ว ย้ายข้าง เป็น “งูเห่า” มาอยู่ฝั่งรัฐบาลใหม่ภูมิใจไทย
โผล่าสุดได้นั่ง รมช.มหาดไทย แต่ต้องป้องกันปัญหาจริยธรรมทางการเมือง ฝ่าฝืนมติพรรค เนื่องจากพรรคเป็นฝ่ายค้าน แต่ตัวกลับแหกโผมาเป็นรัฐมนตรี ทำให้ต้องลาออกจาก สส.
แต่การลาออกของ คุณศักดิ์ดา ทำให้เกิดปัญหาตามมา คือ ต้องจัดเลือกตั้งซ่อม เนื่องจากเป็น สส.เขต ไม่ใช่ปาร์ตี้ลิสต์ ส่งผลให้ต้องสูญเสียงบประมาณรัฐ จัดเลือกตั้งหา สส.มาทดแทน ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเหตุจำเป็นใดๆ
เรื่องนี้ต้องระวังฝ่ายค้านหยิบมาเป็นประเด็น “งูเห่าแลกผลประโยชน์” เรื่องตำแหน่ง และทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณในการจัดเลือกตั้งซ่อมโดยใช่เหตุ อาจขัดมาตรฐานทางจริยธรรมได้เหมือนกัน
ด้านนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ ลูกชายนายสันติ พร้อมพัฒน์ มีข่าวเข้ามารับตำแหน่งแทนพ่อ
แต่นายพัฒนา เคยมีชื่อ และต้องออกมาแถลงข่าว เนื่องจากเคยเป็นผู้บริหารบริษัทเจ้าของตึกสกายไนน์ ก่อนขายต่ออีก 2 ทอด ให้กับกองทุนประกันสังคม แม้จะเคยยืนยันความโปร่งใส และไม่เกี่ยวกับ “ดีลตึกสกายไนน์” ในราคาแพงเกินจริงของประกันสังคม แต่ก็มีโอกาสกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” ได้เหมือนกัน
ขณะที่ พล.ต.ท.ชาญชัย พงษ์พิชิตกุล อดีตตำรวจ ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 มีชื่อเป็นว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ หรือ นรต. รุ่น 40 , นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 24 , เพื่อนพ้องน้องพี่อยู่ในตำแหน่งสูงๆ ทั้งสีกากีและสีเขียวยังอีกเพียบ
สอบถามเพื่อนร่วมรุ่น นรต.40 ของท่าน ได้รับการยืนยันว่า เป็นคนดี มีความสามารถ ไม่เกเร แถมมีน้ำใจ ช่วยเหลือผู้อื่น นอกจากนั้นที่บ้านยังมีฐานะดีมาแต่ดั้งเดิม จึงมีความพร้อม และไม่เดือดร้อนเรื่องการทำงาน
แต่ประวัติการทำงานที่น่าสนใจ คือ การผ่านตำแหน่งต่างๆ ในบุรีรัมย์ เหมือนกับเป็น “ตำรวจบุรีรัมย์” มากกว่าตำรวจแห่งชาติ
ประวัติเส้นทางรับราชการตำรวจ
– บรรจุหลังเรียนจบที่แรก รองสารวัตรสอบสวน สภ.ประทาย จ.นครราชสีมา (อีสานใต้ ภูธรภาค 3)
– รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์
– รองสารวัตรสอบสวน สภ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์
– สารวัตรสอบสวน สภ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์
– 2542 สารวัตรสอบสวน หัวหน้าสถานีตำรวจ กิ่งอำเภอแคนดง จ.บุรีรัมย์
– สารวัตร สภ.หนองไม้งาม อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
– 2547 รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สภ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์
– 2551 ผกก.สภ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์
– ผกก.สภ.สตึก จ.บุรีรัมย์
– 2555 ผกก.สภ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
– 2558 พ.ต.อ.พิเศษ รอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์
– 2562 ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์
– 2564 ผบก.ภ.จว.สุรินทร์
– ตำแหน่งสุดท้าย รอง ผบช.ภ.3 ก่อนเออร์ลี่รีไทร์จากราชการ ครองยศเป็น “พล.ต.ท.”
ส่วนรายสุดท้าย ที่ถูกโฟกัสผลงานสู้ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา เรียกว่าไม่เปลี่ยนม้ากลางศึก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ หรือ “บิ๊กเล็ก” ขึ้นแท่น รมว.กลาโหม จากที่เคยเป็น รมช.และรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องจากรัฐบาลเพื่อไทยทำเรื่องประหลาด ไม่ตั้งรัฐมนตรีว่าการกลาโหม ทั้งๆ ที่มีศึกเขมร
“บิ๊กเล็ก” ถูกตั้งคำถามเรื่องศักยภาพ ความสามารถ และบารมี ในการจัดการปัญหากัมพูชา หากมองมุมนี้ ผู้ชำนาญการณ์หลายคนเห็นว่า ยังไม่เหมาะสม ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด
แต่หากมองในมุมความต่อเนื่องในการทำงาน ไม่เปลี่ยนม้ากลางศึก ก็ต้องถือว่าเหมาะสม เพราะหากเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี เช่น พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม อดีตเลขาธิการ สมช. อดีตเสนาธิการทหาร หรือ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ก็ต้องเสียเวลาเรียนรู้งานใหม่ ศึกษางานใหม่ และตั้งทีมงานเข้าไปใหม่ ใช้เวลาอีกเป็นเดือน
แต่การใช้งาน “บิ๊กเล็ก” ต่อไป จะทำให้งานต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด และ “บิ๊กเล็ก” ก็เข้าร่วมประชุมจีบีซีมาแล้ว ทั้งครั้งแรกหลังหยุดยิง และครั้งที่ 2 ที่กำลังประชุมกันอยู่ การไม่เปลี่ยนม้ากลางศึก จึงน่าจะส่งผลดีกว่า ขณะที่บทบาทของกองทัพ ก็แข็งแกร่งดีอยู่แล้ว
ยิ่งให้อำนาจเต็มกับ “บิ๊กเล็ก” ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการ ยิ่งเชื่อว่าจะทำงานถวายหัว