
7 กันยายน 2568 หลังจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว
ลำดับต่อไป “นายกฯหนูป้ายแดง” ก็ต้องตั้ง ครม.ใหม่ ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งแย้มล่าสุดว่า เรียบร้อยแล้วทุกตำแหน่ง 100% ถือว่าว่องไว สมกับเป็นรัฐบาลที่เข้ามาทำงานแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และเตรียมตัว “อยู่ไม่นาน” จริงๆ
ขั้นตอนต่อไปก็คือการพา ครม.ใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งตามข่าวลือก่อนหน้านี้ คาดการณ์กันว่าจะเป็นวันที่ 9 กันยายน 2568
วันเดียวกันนั้น จะมีการนัดอ่านคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งตั้งองค์คณะไต่สวนว่า อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาแล้วหรือยัง
“เจ้าสำนักทฤษฎีสมคบคิด” วิจารณ์กันให้แซ่ดว่า ถ้าเกิดมีการพา ครม.ใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณในวันนั้น และเกิดศาลมีคำสั่งให้อดีตนายกฯทักษิณ กลับไปรับโทษตามคำพิพากษา คือ ไปเข้าเรือนจำ จะเท่ากับเป็นการ “ปิดยุคการเมืองชินวัตรและพรรคเพื่อไทย” พร้อมเปิดยุค “การเมืองพรรคภูมิใจไทย” ในวันเดียวกันไปเลย
ข้อมูลจาก “สื่อรัฐสภา” ระบุว่า การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี “อนุทิน 1” จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี และมีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนเรียบร้อยแล้ว
คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดิน จะต้องทำการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ความว่า
“มาตรา 162 คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ทั้งนี้ ภายใน 15 วันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่”
1. การแถลงนโยบายต้องกระทำภายใน 15 วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีเข้ารับหน้าที่
2. นโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาจะต้องระบุแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินอย่างชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ
3. รัฐบาลต้องจัดทำเอกสารนโยบายเพื่อส่งมอบให้สมาชิกรัฐสภา (สว. และ สส.) ได้ศึกษา ก่อนการประชุมเพื่อรับฟังการแถลง
1. การแถลงนโยบายกระทำในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยมีประธานรัฐสภาเป็นผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
2. นายกรัฐมนตรีเป็นผู้แถลงนโยบายหลักต่อที่ประชุม จากนั้นอาจมีการชี้แจงเพิ่มเติมโดยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
3. สมาชิกรัฐสภา มีสิทธิอภิปรายซักถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายที่เสนอ โดยไม่มีการลงมติรับหรือไม่รับ ไม่มีการลงมติความไว้วางใจ แต่สามารถให้ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะต่อฝ่ายบริหารได้
การแถลงนโยบายจึงถือเป็นการกำหนดทิศทางการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลต่อสาธารณะและต่อฝ่ายนิติบัญญัติ พร้อมกับเป็นกระบวนการสร้างความโปร่งใส และเปิดให้ฝ่ายนิติบัญญัติได้ซักถามและตรวจสอบตั้งแต่เริ่มต้นวาระการบริหารประเทศ