
3 กันยายน 2568 นายวัส ติงสมิตร อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฏีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ความเห็น กรณีพรรคประชาชน สร้างเงื่อนไขไม่ร่วมรัฐบาลแต่โหวต คุณ อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ ว่า
นายวัส ติงสมิตร อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฏีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
การที่พรรคประชาชนใช้กลยุทธ์โหวตให้นายอนุทินเป็นนายกฯ แต่ประกาศชัดว่าจะไม่เข้าร่วมรัฐบาล เป็น “กลยุทธ์ทางการเมือง” ในระบบรัฐสภา โดยมีชื่อเรียกต่าง ๆ เช่น “confidence and supply” หรือ “outside support”
พรรคประชาชนน่าจะ “รู้คำตอบตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 2568 ว่าจะโหวตให้อนุทินเป็นนายกฯ” แต่กลับยื้อการประกาศอย่างเป็นทางการ จนถึงช่วงสายวันที่ 3 ก.ย. ก่อนการลงมติเลือกนายกฯ และไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการวางหมากการเมือง โดยมีเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้
1) ใช้ “เวลา” เป็นเครื่องมือสร้างอำนาจต่อรอง
แม้จะมีคำตอบภายในแล้ว แต่ถ้าประกาศเร็วเกินไป พรรคจะหมดอำนาจต่อรองในช่วงชั่วโมงสุดท้ายไป
การยื้อถึงวันลงมติ ทำให้ทั้งสองขั้ว (พรรคเพื่อไทย–ชัยเกษม และพรรคภูมิใจไทย–อนุทิน) ต้องรอคำตอบ และพยายามเจรจาต่อรองเงื่อนไขที่พรรคประชาชนวางไว้ (ยุบสภา-ไม่เข้าร่วมรัฐบาล-แก้รัฐธรรมนูญ)
2) รักษากระแสความสนใจทางสังคม
การปล่อยให้สังคมคาดเดา จับตา และรอลุ้นการแถลง ทำให้พรรคประชาชน “อยู่ในศูนย์กลางความสนใจ” ตลอด 24 ชั่วโมง
ยุทธศาสตร์นี้ช่วยให้พรรคได้รับพื้นที่สื่อและสร้างความชัดเจนในภาพลักษณ์ว่า “เราเป็นตัวแปรชี้ขาด”
3) สร้างแรงกดดันต่อผู้ถูกเลือก (อนุทิน)
การไม่ประกาศทันทีทำให้อนุทินและพรรคภูมิใจไทยต้องแสดงท่าทีอ่อนน้อม-ยอมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้เสียงโหวตให้เป็นนายกฯ
กล่าวคือ พรรคประชาชนทำให้การตัดสินใจสนับสนุน “มีราคาและความหมาย” ไม่ใช่ให้ฟรี
4) สร้างความชอบธรรมต่อฐานมวลชน
ถ้าประกาศตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. ฐานมวลชนบางส่วนอาจมองว่าพรรค “รีบร้อน” หรือ “ไปตกลงลับ ๆ กันแล้ว”
แต่การรอจนถึงวันจริง แล้วอธิบายอย่างเป็นพิธีการว่าตัดสินใจเพราะเหตุผลเชิงหลักการ (ยุบสภา-ไม่ร่วมรัฐบาล) ทำให้การโหวตครั้งนี้ดู สะอาด โปร่งใส และเป็นไปตามเงื่อนไขที่ประกาศต่อสาธารณะ
5) หากพรรคเพื่อไทยตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร และทำสำเร็จก่อนการโหวตให้อนุทินเป็นนายกฯ
จะทำให้พรรคประชาชนได้ประโยชน์มากขึ้น เพราะไม่ต้องรออีกครึ่งค่อนปีในการยุบสภาฯ
6) บทสรุป
ปฏิบัติการของพรรคประชาชนในชั่วโมงท้ายๆ เป็นการเล่นเกมเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อ
(1)เพิ่มอำนาจต่อรอง
(2) ดึงความสนใจสังคม
(3) กดดันอนุทินให้ยอมรับเงื่อนไข
(4) สร้างภาพความชอบธรรมต่อมวลชน