
3 กันยายน 2568 สถานการณ์การเมืองยังวุ่นไม่จบ และยังคงฝุ่นตลบ ไม่เลิก แม้พรรคประชาชนจะแถลงสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นั่งนายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน พร้อมพรรคการเมืองพันธมิตร แถลงรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนเพื่อให้โหวตนายกฯทุกข้อแล้วก็ตาม โดยเฉพาะการยุบสภาภายใน 4 เดือน และไม่พยายามหาเสียง สส.เพิ่มให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก โดยจะคงสถานะเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” จนกว่าจะยุบสภา
แต่ปัญหาล่าสุดคือ อีกด้านหนึ่ง มีข่าวยืนยันจากแกนนำพรรคเพื่อไทย และมือกฎหมายใน ครม. ทั้ง คุณสรวงศ์ เทียนทอง และ อาจารย์ชูศักดิ์ ศิรินิล ทำให้สังคมเข้าใจได้ว่า รักษาการนายกรัฐมนตรีหรือปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย ได้ทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎายุบสภาไปแล้ว
คำถามคือ การประชุมสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ สามารถดำเนินการได้เลย หรือต้องรอ พระราชกฤษฎีกายุบสภา(พ.ร.ฎ.ยุบสภา)ก่อน ว่าจะโปรดเกล้าฯลงมาหรือไม่ หากต้องรอ มีกรอบเวลาต้องรอกี่วัน
ตรวจสอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 103 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง ก็ไม่มีข้อความใดที่จะให้คำตอบในเรื่องนี้ได้
กล่าวคือ มาตรา 103 “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป
การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทําโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กระทําได้เพียงครั้งเดียว ในเหตุการณ์เดียวกัน”
ขณะที่ มาตรา 175 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย”
จากรัฐธรรมนูญ 2 มาตรานี้ ต้องเน้นมาตรา 175 ที่ว่า พระราชกฤษฎีกาที่จะมีผลบังคับใช้ได้หรือไม่ ถือเป็นพระราชอำนาจ แต่พระราชกฤษฎีกานั้น “ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย”
คำตอบก็คือ น่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง แต่ก็ต้องมีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลก่อน
คำถามต่อมาคือ ต้องรอความชัดเจนก่อนหรือไม่
“ดร.ณัฏฐ์” ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไป ต้องไปโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 วรรคท้าย แต่ก็สมควรต้องรอพระราชกฤษฎีกายุบสภาที่คณะรัฐมนตรีรักษาการ ทูลเกล้าฯเอาไว้เสียก่อน ว่าพระมหากษัตริย์จะทรงยับยั้งหรือไม่ ถือเป็นเงื่อนไขบังคับ
แต่ ดร.ณัฏฐ์ บอกว่า เรื่องนี้ไม่มีกรอบเวลา ไม่เหมือน พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ ซึ่งมีเขียนในรัฐธรรมนูญ มาตรา 146
กล่าวคือ มาตรา 146 “ร่างพระราชบัญญัติใด พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้น 90 วันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาจะต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่….”
ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า กรณีร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภาเห็นชอบแล้ว และนำขึ้นทูลเกล้าฯ รัฐธรรมนูญให้รอ 90 วัน หรือเร็วกว่านั้น กรณีมีพระบรมราชวินิจฉัย แต่กรณีพระราชกฤษฎีกา ไม่มีบัญญัติเอาไว้ จึงต้องรออย่างเดียว แต่คาดว่า ภายใน 1-3 วัน จะมีความชัดเจนในทางใดทางหนึ่ง
ด้านแหล่งข่าวระดับสูงในแวดวงราชการ ซึ่งเชี่ยวชาญกฎหมายการบริหารราชการแผ่นดิน ให้ความเห็นว่า ตามกระบวนการเสนอร่างกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นร่างพระราชบัญญัติ หรือ ร่างพระราชกฤษฎีกา หรือกรณีการทูลเกล้าฯรายชื่อบุคคลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง จะมีกระบวนการกลั่นกรองเรื่อง ก่อนทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย หากในชั้นการกลั่นกรอง มีความเห็นว่าร่างกฎหมาย หรือเรื่องที่นำขึ้นทูลเกล้าฯนั้น อาจมีปัญหาข้อกฎหมาย ก็จะมีการส่งคืนมายังรัฐบาล หรือ รัฐสภา ตามแต่กรณี
ส่วนร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาที่เป็นข่าวนั้น ได้ตรวจสอบไปคณะบุคคลที่ทำหน้าที่กลั่นกรองเรื่อง ได้รับคำยืนยันว่า ยังไม่มีร่างพระราชกฤษฎีกาส่งไปถึง