
28 สิงหาคม 2568 รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา วิเคราะห์เชิงวิชาการกรณีคลิปเสียงนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เนชั่นทีวี เห็นว่ามีเนื้อหาน่าสนใจชวนวิเคราะห์อย่างยิ่ง จึงขอนำมาเสนอดังนี้
รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว วิเคราะห์ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงฮุนเซน-แพทองธาร ว่าการกระทำของนายกฯเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ มี 5 เหตุผลนำไปประกอบการพิจารณา
1. การฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ประเด็นหลักที่ถูกหยิบยกมาพิจารณาคือ การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่าย ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงสำหรับนักการเมือง โดยเฉพาะเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติและไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปในทางที่ขัดต่อความมั่นคงของประเทศ โดยเนื้อหาในคลิปบางส่วนถูกตีความว่าเป็นการพูดในลักษณะที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และมีการพาดพิงถึงบุคลากรของกองทัพในทางที่อาจสร้างความเสียหาย ซึ่งเป็นเรื่องที่อ่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ
2. การละเมิดอำนาจอธิปไตยและเขตแดนของรัฐ การพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นชายแดนและเขตแดนของประเทศกับผู้นำต่างชาติโดยตรง โดยไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการทางการทูตที่เหมาะสม อาจถูกมองว่าเป็นการก้าวล่วงอำนาจในการเจรจาต่อรองซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ
3. การใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางที่มิชอบ แม้ว่าในคลิปเสียงจะมีสถานะเป็นส่วนตัว แต่เนื่องจากนางสาวแพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรี การสนทนากับผู้นำต่างชาติจึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวโดยสิ้นเชิง การพูดคุยดังกล่าวอาจถูกตั้งคำถามว่าเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองหรือไม่ ซึ่งขัดกับหลักการปกครองที่ดีที่นักการเมืองควรแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากผลประโยชน์ของชาติ
4.ในมิติรัฐศาสตร์และการปกครอง หลักการสำคัญในรัฐศาสตร์การปกครอง คือ การใช้ อำนาจ (Power) ที่ได้รับมอบหมายจากประชาชนอย่างชอบธรรมและเป็นไปตามหลักการของรัฐ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของชาติ การกระทำในคลิปเสียงดังกล่าวถูกมองว่าอาจขัดต่อหลักการเหล่านี้
4.1 หมดความชอบธรรมทางการเมืองเพราะแพรทองธาร ทำลายความเชื่อมั่นจนนำไปสู่วิกฤตศรัทธาจากประชาชน ส่วนหนึ่งของปัญหาความขัดแย้ง ถูกมองว่า เป็นผลมาจากความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างสองตระกูลนำมาสู่ความขัดแย้งระหว่างรัฐ
4.2 หลักการใช้อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรี การเจรจาหรือหารือประเด็นที่มีความอ่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติกับผู้นำต่างชาติ ควรทำผ่านช่องทางที่เป็นทางการและเป็นไปตามกระบวนการทางการทูต การสนทนาในลักษณะส่วนตัวอาจถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ หรือไม่เป็นไปตามระเบียบที่รัฐกำหนดไว้ ซึ่งอาจสร้างความไม่ชัดเจนและสุ่มเสี่ยงต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติได้
4.3 หลักการความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหาร (Civil-Military Relations) ในคลิปมีการกล่าวพาดพิงถึงบทบาทของแม่ทัพภาคที่ 2 และกองทัพในลักษณะที่เป็น "คนละฝั่ง" กับรัฐบาล ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและอาจส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจ ความเป็นเอกภาพ และความน่าเชื่อถือของกองทัพในสายตาของสาธารณะ
4.4 หลักการแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์สาธารณะ การพูดคุยที่อ้างว่าเป็นเรื่องส่วนตัวแต่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐ อาจทำให้เกิดข้อกังขาว่ามีการนำเรื่องของรัฐไปพูดคุยเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือของพรรคการเมืองหรือไม่ ซึ่งขัดกับหลักการสำคัญของจริยธรรมทางการเมือง
5. ในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการเมืองระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นตั้งอยู่บนหลักการของการเคารพ อธิปไตย (Sovereignty) ซึ่งกันและกัน การสื่อสารควรทำผ่านช่องทางการทูตที่เป็นทางการเพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้ การกระทำในกรณีนี้ถูกมองว่าอาจขัดต่อหลักการเหล่านี้
5.1 หลักการทูตตามแบบแผน (Formal Diplomacy) การเจรจาประเด็นชายแดนระหว่างประเทศเป็นภารกิจที่ต้องดำเนินการอย่างเป็นทางการโดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพ การพูดคุยที่ไม่เป็นทางการอาจทำให้สถานะของเรื่องไม่ชัดเจน และอาจสร้างความสับสนหรือข้อได้เปรียบเสียเปรียบในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศได้
5.2 หลักการรักษาผลประโยชน์ของชาติ การพูดคุยประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างเรื่องชายแดนอาจส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว ซึ่งหากไม่ได้ทำผ่านช่องทางที่ถูกต้องและเป็นทางการ อาจนำไปสู่ข้อตกลงที่รัฐไม่สามารถยอมรับ