
12 สิงหาคม 2568 พลันเกิดเหตุ(ซ้ำซาก) กับนายทหารฝ่ายไทย เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา มีทหารไทยเหยียบกับระเบิดในเขตอธิปไตยของตนเอง ที่บริเวณห่างจากปราสาทตาเมือนธม และถือเป็นรายที่ 5 แล้ว
กระทั่ง พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และไม่เคารพต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งห้ามใช้และวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกชนิด นับเป็นการลอบโจมตีที่มีเป้าหมายต่อกำลังพลฝ่ายไทยโดยตรง และเกิดขึ้นในเขตแดนไทย
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก
“ที่ผ่านมากองทัพบกได้ยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด และไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่หากสถานการณ์บีบบังคับก็อาจจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ในป้องกันตนเองภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์ที่ทำให้ฝ่ายไทยต้องสูญเสียกำลังพลอย่างต่อเนื่อง จากการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและรุกล้ำอธิปไตยของทหารกัมพูชา” โฆษก ทบ. กล่าว
ขีดเส้นใต้ คำกล่าวของ โฆษกทบ.ระบุว่า “หากสถานการณ์บีบบังคับก็อาจจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ในการป้องกันตนเองภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ”
จึงมีคำถามว่า สิทธิในการป้องกันตนเองภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ คืออะไร และต้องทำอย่างไร
ทั้งนี้ กฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 ว่าด้วยสิทธิอันมีมาแต่กำเนิดในการป้องกันตนเอง ทั้งโดยปัจเจกหรือโดยร่วมกัน หากการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้นต่อสมาชิกแห่งสหประชาชาติ จนกว่าคณะมนตรีความมั่นคงจะได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
ที่มาของ กฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) มีรากฐานมาจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งที่เลวร้ายเช่นนั้นอีกในอนาคต และเพื่อสร้างองค์กรระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพมากกว่า สันนิบาตชาติ (League of Nations) ที่ล้มเหลวในการรักษาสันติภาพในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น
มีการลงนาม กฎบัตรสหประชาชาติ : ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1945 ผู้แทนจากทั้ง 50 ประเทศได้ลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติ (รวมถึงประเทศไทย)
ทั้งนี้ ในช่วง ที่กัมพูชากระทำการโจมตีด้วยอาวุธใส่พื้นที่พลเรือนของไทยในเขต อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์
ครั้งนั้น กองทัพภาคที่ 2 ได้ขึ้นข้อความแจ้งว่า ประเทศไทยมีสิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
“…รัฐสมาชิกมีสิทธิในการใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเอง หากถูกโจมตีก่อนพร้อมทั้งต้องรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทันที…”
หากจำเป็นต้องใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเอง กองทัพบกไทยจะดำเนินการ ตามหลักสากลของกฎหมายมนุษยธรรม โดยจะ โจมตีเฉพาะ เป้าหมายทางทหาร (Military Objective), หลีกเลี่ยงการกระทบต่อ ทรัพย์สินทางวัฒนธรรม เช่น ปราสาทโบราณ, ไม่ใช้ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือทางทหาร เพราะจะทำให้หมดสิทธิได้รับความคุ้มครอง ตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ประเทศไทยยึดมั่นในหลักนิติธรรมและคุณค่าสากลของมนุษยธรรม แต่จะไม่ยอมให้การโจมตีใดๆ ละเมิดอธิปไตยและบ่อนทำลายศักดิ์ศรีของชาติได้โดยไม่มีการตอบโต้
เช่นเดียวกับ เหตุการณ์ล่าสุดในวันนี้ที่ทหารไทยต้องเหยียบกับระเบิดกัมพูชาบริเวณอธิปไตยของไทย
กองทัพภาคที่ 2 ได้ขึ้นข้อความ ขอใช้ "สิทธิป้องกันตนเอง" ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนไปถึงผู้รุกราน
คีย์เวิร์ดสำคัญวันนี้ “สิทธิป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ