
นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงเจ้าหน้าที่ทหารเหยียบกับระเบิดที่บริเวณรอยต่อช่องโดเอาว์-กฤษณา จังหวัดศรีสะเกษเมื่อช่วงเวลา 10.00 น.ที่ผ่านมาว่า ส่วนตัวตนต้องขอแสดงความเสียใจกับทหารทั้ง 3 นาย ที่เหยียบกับระเบิดจนได้รับบาดเจ็บ และขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ ให้สื่อสารไปยังประเทศต่าง ๆ ทั้งประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศตัวกลางในการประสานให้ไทย และกัมพูชาได้พูดคุยเพื่อทำข้อตกลงในการหยุดยิงกัน รวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกา และจีนที่เข้ามาร่วมสังเกตการณ์ในการทำข้อตกลง 13 ข้อเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมาด้วย
นายสุรเดช กล่าวว่า ข้อตกลง 13 ข้อ แต่มี 2 ข้อที่ทางกัมพูชาไม่ยอมรับ คือ การร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งในเรื่องของทุ่นระเบิดที่ยังคงฝังอยู่นั้น ในเมื่อเราไม่สามารถไว้วางใจกัมพูชาได้ เราก็ต้องมาเก็บกู้ของเราเองก่อน และในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจอย่างนี้ เราควรจะต้องมีอุปกรณ์ หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งในหลายประเทศก็มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย เท่าที่ตนติดตามข่าวประเทศที่มีเทคโนโลยีที่น่าสนใจ คือ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งในทางทหารเราก็มีสัมพันธ์ที่ดีกับทางออสเตรเลียอยู่แล้ว สถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทยเราก็มีอยู่ ดังนั้น เราก็สามารถประสานกับทางสถานทูตได้เลย โดยอาจจะขอให้ผู้เชี่ยวชาญของเขามาดูสถานที่พร้อมนำอุปกรณ์ หรือเทคโนโลยีตรวจจับทุ่นระเบิดมาแสดงให้เราดูก่อนก็ได้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ จะเป็นลักษณะเหมือนกับสนามแม่เหล็ก ที่สามารถจะเช็คสิ่งที่เป็นโลหะได้ว่า อยู่จุดไหน และพื้นที่ไหนที่มีทุ่นแม่เหล็กอยู่จำนวนมากหรือน้อย นอกจากนี้ ยังมีวิธีการใช้โดรนเข้ามาตรวจสอบในพื้นที่ที่เป็นภูเขาที่จำเป็นต้องใช้โดนเข้าไปตรวจสอบด้วย ตนคิดว่า เราต้องรีบทำเพราะไม่เช่นนั้นทหารเราจะอันตราย
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของชีวิตคน ชีวิตทหาร เครื่องไม้เครื่องมือที่เรามีอยู่ในปัจจุบันอาจจะยังไม่ทันสมัยพอ ผมจึงอยากเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน เพราะเราไม่สามารถที่จะเอาชีวิตทหารไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่ ได้อีกแล้ว เราต้องระมัดระวังความปลอดภัยให้กับทหารของเรา ด้วยการมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยด้วย” รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าว
ส่วนประชาชนที่ขณะนี้เริ่มทยอยกลับบ้านแล้วนั้น รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อยากให้ทางเจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบให้เกิดความปลอดภัยก่อนที่จะประกาศให้ประชาชนกลับบ้านตัวเอง เนื่องจากที่ผ่านมาเรายังตรวจพบลูกระเบิดที่ฝังอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ จำนวนมาก ขณะที่ ฝั่งกัมพูชาเอง ยังคงมีทหาร และอาวุธหนักประจำอยู่ในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นรถถัง หรือฐานยิงจรวด ดังนั้น เราก็ยังคงไว้ใจไม่ได้ รัฐบาลต้องย้ำไปว่ากัมพูชาต้องมีความจริงใจ โดยนำอาวุธหนักเหล่านี้ออกไปจากพื้นที่ เพราะหากกัมพูชาเกิดยิงจรวดเข้ามาแล้วใครจะรับผิดชอบชีวิตประชาชน
ส่วนเรื่องคอลเซ็นเตอร์นั้น นายสุรเดช กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เรายอมไม่ได้อยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมาทำความเสียหายให้กับคนไทยจำนวนมาก ดังนั้น รัฐบาลต้องเน้นย้ำไปว่า กัมพูชาต้องดำเนินการปราบปรามไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่เจรจาเด็ดขาด