
5 สิงหาคม 2568 ก่อนเสียงระเบิดดัง 23 ก.ค. และเริ่มปะทะ 24 ก.ค. - ปราสาทตาควาย อยู่ในเขตอธิปไตยไทยชัดเจน และมีทหารไทยไปเฝ้าประจำการที่ตัวปราสาท นักท่องเที่ยวขึ้นไปเที่ยวได้
**ความจริงที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ แต่ทหารรู้ คือ จริงๆ แล้วมี “ทหารเขมร” มาสังเกตการณ์ และทำทีเหมือนมาช่วยประจำการกับทหารไทย พูดง่ายๆ คือ มีทหารเขมรปะปนอยู่ด้วย แต่ไม่เคยมีความขัดแย้ง
หลังเกิดการปะทะ - ช่วงแรกทหารเขมรเข้ายึดปราสาทตาควายได้ และเข้าไปอยู่ในปราสาท
- ช่วงต่อมา ทหารไทยพยายามผลักดัน และขับไล่ทหารเขมรออกไปจากตัวปราสาทได้สำเร็จ ทหารเขมรถอยขึ้นไปบนเนิน 350
- ช่วงก่อนหยุดยิง 28 ก.ค.เวลาเที่ยงคืน ทหารไทยกำลังรุกไล่ แต่ติดปัญหา 2 ประการ คือ
หนึ่ง กำลังพื้นราบรุกไล่ขึ้นไปบนเนิน 350 จากตัวปราสาท แล้วโดนกับระเบิด ทำให้ต้องล่าถอย
**ปากคำของทหารที่บุกตะลุยเข้าไป คือหลังปราสาทขึ้นไปบนเนิน 350 ทหารเขมรลักลอบขุดคูเลตเอาไว้ ถัดจากคูเลตเป็นรั้วลวดหนาม กำลังฝ่ายไทยข้ามรั้วลวดหนามเข้าไปแล้วโดนกับระเบิด
สอง กำลังที่จะเข้ายึดครองตัวปราสาทให้ได้เบ็ดเสร็จ โดนทหารเขมรยิงใส่ เพราะอยู่ในจุดสูงข่ม บนเนิน 350
- เมื่อหยุดยิง ทุกอย่างจึงชะงัก ทหารขอเวลาอีก 24-72 ชั่วโมง เพื่อเคลียร์เนิน 350 แต่ทำไม่ได้ เวลาไม่พอ
**ฝ่ายกัมพูชาส่งกำลังรบพิเศษ BHQ ขึ้นมา แต่สูญเสียเยอะ เพราะเจอฝ่ายไทยโจมตีทางอากาศ
**การโจมตีของฝ่ายไทยเข้าเป้าบางส่วน ตัดเส้นทางลำเลียงได้ ทำลายฐานปฏิบัติการ และฐานสนับสนุนขนาดใหญ่ได้ ทำให้ฝั่งกัมพูชาชะงัก
“สถานการณ์จึงตรึงกันแบบเผชิญหน้า ไทยคุมพื้นที่มากกว่า แต่อยู่ในจุดที่เสียเปรียบ เพราะทหารเขมรอยู่บนจุดสูงข่ม และทั้งเนินจริงๆ แล้วเป็นเขตอธิปไตยไทย”
- สถานการณ์ปัจจุบัน มีการสอดแนมและใช้ภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อยืนยันปากคำทหารที่เข้าตี และตรวจสอบข้อมูลระดับพื้นที่เพิ่มเติม
**สภาพจริงของพื้นที่ ถัดจากตัวปราสาทขึ้นไป 50-80 เมตร เป็นคูเลต
**ถัดขึ้นไปอีก เป็นแนวรั้วลวดหนาม
**ข้ามรั้วลวดหนาม เป็นสนามทุ่นระเบิด
**เลยขึ้นไปอีก เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งฝ่ายไทยไม่ทราบมาก่อน
**ตอนแรกประเมินว่าหมู่บ้านนี้ เป็นที่พักทหาร เพราะเขมรอนุญาตให้พาลูกเมียขึ้นมาอยู่ด้วย
**แต่พอเจาะลึก ตรวจสอบภาพโดยเทคนิคพิเศษ พบว่า หลังคาสีฟ้าๆ เป็นการนำสะแลน หรือผ้าใบมาบังหลอกเอาไว้ แต่ด้านใต้เป็นฐานยิงปืน และฐานบังคับยุทโธปกรณ์ต่างๆ
บทสรุปของ พื้นที่ตาควาย ไม่ง่ายที่ทหารไทยจะยึดกลับ เพราะกัมพูชาอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ และเรากำลังรบกับทหารบ้าน ใช้ชีวิตอยู่บนเนิน 350 มีบ้านอยู่บนนั้น จึงชำนาญพื้นที่ และปรับแต่งพื้นที่ให้เป็นประโยชน์ทางยุทธวิธีทุกรูปแบบ
ไม่ต่างจากข้อมูลที่ “ช่องอานม้า” ซึ่งมีข่าวบางกระแสชี้ว่า ทหารเขมรหนีขึ้ันไปอยู่บนเนิน 677 และมีการขุดคูเลต หลุมเพาะ บังเกอร์ ป้องกันการโจมตี และอยู่ในจุดสูงข่มที่กดดันทหารไทยได้
ทั้งๆ ที่ทั้งภูเขาเป็นเขตอธิปไตยไทย
บทสรุป "แท็กติกเขมร ตีเนียนชิงดินแดน"
1.อ้างสงครามภายใน สงครามกลางเมือง สงครามรบกันเอง แล้วอพยพหนีภัยมาอยู่ชายแดน หรือข้ามแดนมาฝั่งไทย
2.สงครามจบก็ไม่ยอมกลับ ผลักดันอย่างไรก็ไม่กลับ
3.สุดท้ายทนไม่ไหวก็ไปอาศัยตามริมชายแดน
4.เริ่มสร้างตลาดค้าขาย สร้างสิ่งปลูกสร้าง โดยมีรัฐบาลกัมพูชา หรี่ตา แอบสนับสนุน (ให้วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง)
5.เมื่อสร้างตลาดได้ ก็ขยายเป็นชุมชน
6.เมื่อมีชุมชน ก็สร้างศาสนสถาน เช่น วัด อย่างวัดแก้วคีรีสะวาระ ตรงใกล้ปรสาทพระวิหาร / หรืออนุสาวรีย์ตาอม / หวังผลอ้างสิทธิ์ครอบครองดินแดน หรือพื้นที่บริเวณนั้น
7.มีกำลังทหารแทรกซึมเข้ามา อ้างรักษาความปลอดภัย (ทั้งๆ ที่อยู่ในเขตไทย)
8.นานวันเข้าก็ตั้งค่าย ตั้งฐานปฏิบัติการเล็กๆ
9.ตัดถนน ทำระบบสาธารณูปโภค ให้พื้นที่เข้าถึงง่าย (ส่วนใหญ่เป็นหน้าผา หรือเส้นทางสูงชัน)
10.เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดก็เติมกำลังและยุทโธปกรณ์เข้ามา สุดท้ายก็เผชิญหน้ากับทหารไทย พร้อมอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของดินแดน