
28 กรกฎาคม 2568 พล.อ.กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านกฎหมายความมั่นคงและกฎหมายระหว่างประเทศ ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ “เนชั่นวิเคราะห์ข่าว” ทางเนชั่นทีวี เช้าวันนี้ ว่า การที่รัฐบาลไทยส่ง “ทีมไทยแลนด์” ไปเจรจากับกัมพูชาที่ประเทศมาเลเซียนั้น รัฐบาลไทยต้องแยกแยะให้ชัดเจนว่า การเจรจาหยุดยิงถือเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องที่ต้องไม่ละเลย คือ การนำตัวผู้รับผิดชอบที่ทำให้เกิดการปะทะ ขึ้นสู่การพิจารณาโดยหน่วยงานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
“เจรจาก็เจรจาไป ขณะเดียวกัน ต้องรวบรวมพยานหลักฐานการกระทำผิดของกัมพูชา แล้วดำเนินการถึงที่สุด” พล.อ.กฤษณะ กล่าว
1.ก่ออาชญากรรมสงคราม โจมตีทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรบ โจมตีทำลายโรงเรียนและโรงพยาบาล
การกระทำนี้ไม่สามารถอ้างได้ว่าอาวุธที่ใช้ไม่มีความแม่นยำ เพราะการนำยุทโธปกรณ์ใดไปใช้ในการรบ ประเทศที่นำไปใช้ต้องมีความมั่นใจว่าสามารถแยกแยะเป้าหมายได้ ไม่โจมตีทำร้ายพลเรือน
ฐานความผิดนี้ถือว่าละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
2.การรุกรานประเทศอื่น เป็นความผิดตามกฎบัตรยูเอ็น อยู่ในอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ไอซีซี ในการพิจารณาไต่สวนคดี
3.การยิงทำลายทรัพย์สินทางวัฒนธรรม เช่น ปราสาทโบราณ จนได้รับความเสียหาย นอกจากนั้นยังมีการใช้ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมเพื่อประโยชน์ทางทหาร ทั้งเป็นที่ตั้ง และที่เก็บอาวุธ หน่วยงานที่จะมาจัดการเรื่องนี้คือ องค์การยูเนสโก
4.การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเป็นอาวุธที่ห้ามใช้ทั่วโลก เพราะไม่สามารถแยกแยะ “พลเรือน” ออกจาก “พลรบ” ได้ ไม่ว่าใครไปเหยียบก็จะระเบิด ถือว่าละเมิดอนุสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ อนุสัญญาออตตาวา
พล.อ.กฤษณะ ย้ำว่า ทั้ง 4 เรื่องนี้รัฐบาลไทยต้องเดินหน้าต่อไป แม้จะมีการเจรจาเกิดขึ้นก็ตาม
ส่วนการมุ่งมั่นดำเนินการเอาผิดกับกัมพูชา จะกระทบต่อการเจรจาที่กำลังเกิดขึ้นหรือไม่นั้น พล.อ.กฤษณะ บอกว่า ถ้าไม่เดินหน้าเอาผิดกัมพูชา จะมั่นใจได้อย่างไรว่าฝ่ายกัมพูชาจะไม่กระทำซ้ำรอยเดิม ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องชั่งใจว่าจะดำเนินการอย่างไร รัฐบาลต้องตอบให้ได้ว่า จะให้กัมพูชาสร้างความมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่กลับไปทำแบบเดิมอีก ฝ่ายการเมืองต้องตัดสินใจ
อดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ ซี่งเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ยังเรียกร้องให้ “ทีมไทยแลนด์” และรัฐบาลไทย หาจุดสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางการค้าเรื่องภาษีทรัมป์ที่จะได้จากสหรัฐ กับเรื่องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนบนโต๊ะเจรจา ไม่ควรให้น้ำหนักกับด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป จนเกิดกระแสต่อต้านจากประชาชน
พล.อ.กฤษณะ ยังเสนอว่า มีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่กำหนดเป็นฐานความผิด แต่พัฒนาเป็นกฎหมายระหว่างประเทศได้ และไทยควรริเริ่ม คือ การที่รัฐบาลใด หรือผู้นำประเทศใด สนับสนุนยั่วยุให้ประชาชนในประเทศตนเองมีความคลั่งชาติ ทำให้ประชาชนของตนโกรธเกลียดชังประชาชนจากประเทศที่ขัดแย้งกัน ปัจจุบันแม้ไม่เป็นฐานความผิด แต่เรื่องนี้ทำให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียด และมีผลกระทบต่อการเจรจาสันติภาพ เพราะหากภายในประเทศยังคลั่งชาติอยู่ ผู้แทนรัฐบาลที่ไปเจรจาก็ไม่สามารถตกลงอะไรได้ เพราะถูกกดดันจากกระแสในประเทศตัวเอง เรื่องนี้จึงควรบัญญัติเป็นความผิดในกฎหมายระหว่างประเทศด้วย
ส่วนสถานะของทีมไทยแลนด์นั้น พล.อ.กฤษณะ ในฐานะนักกฎหมาย ยืนยันว่า รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย มีอำนาจเต็ม สามารถทำหน้าที่แทนนายกฯตัวจริงได้ทั้งหมด เป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีทุกประการ
“ในความตึงเครียดระดับวิกฤต ไม่ควรไปจำกัดอำนาจรักษาราชการแทนนายกฯ เพราะจะทำให้ประเทศมีปัญหา เดินหน้าไม่ได้ คิดว่านักกฎหมายทุกคนในประเทศเห็นตรงกันว่า ยามวิกฤตไม่มีกฎหมายใดห้ามรักษาราชบการแทนนายกฯ ทำการแทนนายกฯ”
“แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ จะต้องไม่ไปตกลงอะไรที่มีผลกระทบต่อเขตอำนาจอธิปไตย ตลอดจนบูรณภาพของดินแดนไทย ถ้ามีเรื่องเหล่านั้น จะต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ฉะนั้นจึงต้องดูเนื้อหาการพูดคุยเจรจาตกลงกัน หากกระทบต่อเอกราช อำนาจอธิปไตย และบูรณภาพของดินแดน ก็ต้องเสนอต่อรัฐสภา” พล.อ.กฤษณะ กล่าว