
27 กรกฎาคม 2568 จากสถานการณ์การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 4 โดยหน่วยงานความมั่นคงหลายฝ่ายเชื่อว่า ฝ่ายกัมพูชาส่งสายลับ เข้ามาสอดแนมด้วยนั้น
ล่าสุด พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ เขียนบทความน่าสนใจ เกี่ยวกับข้อกฎหมายของทหารหรือพลเรือนกัมพูชา ที่เข้ามาสอดแนมความลับในประเทศไทย ระบุว่า
ด้วยปรากฏชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาได้ส่งทหารหรือพลเรือนกัมพูชาเข้ามาสอดแนมความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศไทยในดินแดนไทย โดยเฉพาะเกี่ยวกับที่ตั้งทางทหาร
ตลอดจนสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ รวมทั้งฐานที่ตั้งปืนใหญ่ในดินแดนประเทศไทย จึงเป็นกรณีที่น่าสนใจว่าหากทางการไทยจับกุมและควบคุมตัวไว้จะมีสถานะทางกฎหมายอย่างไร จะถือว่าเป็นเชลยศึกหรือไม่ จะสามารถดำเนินคดีอาญาภายใต้กฎหมายภายในได้หรือไม่ หรือจะต้องปล่อยตัวกลับภูมิลำเนา ซึ่งมีประเด็นที่ต้องพิจารณาภายใต้หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. หากเป็นทหารกัมพูชาแต่งกายเครื่องแบบทหารเข้ามาสอดแนมในดินแดนไทยแล้วถูกจับกุมและควบคุมตัวได้ จะมีสถานะเป็นเชลยศึก ฝ่ายไทยสามารถควบคุมตัวไว้ได้ที่สถานที่กักกันเชลยศึก เพื่อไม่ให้กลับไปทำการรบจนกว่าการขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างสองประเทศจะสิ้นสุดลง แล้วปล่อยตัวกลับภูมิลำเนาในกัมพูชาต่อไป ทั้งนี้ ไม่สามารถดำเนินคดีอาญาในการเป็นจารชนสอดแนมความลับได้
2. แต่หากเป็นทหารกัมพูชาที่มิได้สวมเครื่องแบบทหารกัมพูชาโดยแต่งกายเป็นพลเรือน หรือเป็นพลเรือนกัมพูชาที่เข้ามาสอดแนมความลับ จะมีสถานะเป็นจารชนซึ่งสามารถถูกดำเนินคดีอาญาได้ ตามกฎหมายภายใน ดังนี้
2.1 ประมวลกฎหมายอาญา หมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณา-
มาตรา 122 ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่ออุปการะแก่การดำเนินการรบ หรือการตระเตรียมการรบของข้าศึก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี ถ้าการอุปการะนั้นเป็น การ (1) ทำให้ป้อม ค่าย สนามบิน ยานรบ ยานพาหนะ ทางคมนาคม สิ่งที่ใช้ในการสื่อสาร ยุทธภัณฑ์ เสบียง อาหาร อู่เรือ อาคาร หรือสิ่งอื่นใดสำหรับใช้เพื่อการสงครามหรือการรบใช้การไม่ได้หรือตกไปอยู่ในเงื้อมมือของข้าศึก (2) ..... (3) กระทำจารกรรม นำหรือแนะทางให้ข้าศึก หรือ (4) กระทำโดยประการอื่นใดให้ข้าศึกได้เปรียบในการรบ ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา 123 ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อความ เอกสาร หรือสิ่งใด ๆ อันปกปิดไว้เป็นความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
มาตรา 124 ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ผู้อื่นล่วงรู้ หรือได้ไปซึ่งข้อความ เอกสารหรือสิ่งใด ๆ อันปกปิดไว้เป็นความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ถ้าความผิดนั้นได้กระทำในระหว่างประเทศอยู่ในการรบหรือการสงคราม ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี
ถ้าความผิดดังกล่าวได้กระทำเพื่อให้รู้ต่างประเทศได้ประโยชน์ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตอดชีวิต
มาตรา 128 ผู้ใดตระเตรียมการ หรือพยายามกระทำความผิดใด ๆ ในหมวดนี้ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 129 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดใด ๆ ในหมวดนี้ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น
2.2 พระราชบัญญัติคุ้มครองความลับในราชการ พุทธศักราช 2483 มาตรา 3 และมาตรา 4 ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดคัดลอก เขียน จำลอง ถ่ายภาพ สิ่งปลูกสร้างทุกชนิดที่ใช้สำหรับการป้องกันประเทศ ฐานทัพ โรงงานทำอาวุธ คลังอาวุธยุทธภัณฑ์ อู่เรือรบ สถานีวิทยุหรือโทรเลขหรือสถานีส่งและรับอาณัติสัญญาณ สถานที่ใดๆ ใช้ในการสร้างหรือซ่อมแชมเรือรบหรืออาวุธยุทธภัณฑ์ หรือวัตถุใดๆ สำหรับใช้ในการสงคราม ผู้กระทำผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สรุป การเข้ามาสอดแนมความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศไทยในดินแดนไทยหากเป็นทหารกัมพูชาและแต่งเครื่องแบบทหารขณะปฏิบัติการจะมีสถานะเป็นเชลยศึก อยู่ในการควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ไม่อาจถูกดำเนินคดีอาญาในประเทศไทยได้
แต่หากเป็นทหารกัมพูชาหรือพลเรือนกัมพูชาแต่งกายพลเรือนเข้ามาสอดแนมความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศไทยในดินแดนไทย ก็จะเป็นจารชนมีความผิดอาญาอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถถูกดำเนินคดีโดยศาลไทยได้