
27 กรกฎษคม 2568 ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า
ค่ำคืนวันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีข่าวชิ้นหนึ่งจากทำเนียบขาวปรากฎในเวทีระหว่างประเทศคือ ผู้นำสหรัฐเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาต้องหยุดยิง จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ
1) ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้เรียกร้องให้รัฐคู่พิพาทหยุดยิงด้วยวาจาเท่านั้น หากแต่ยังมี “มาตรการบังคับทางการทูต” (coercive diplomacy) ที่ไม่ใช่การใช่มาตรการบังคับในทางทหาร ที่รัฐมหาอำนาจมักใช้เสมอ
2) มาตรการบังคับให้เกิดการหยุดยิงครั้งนี้ เป็นการบังคับในทางเศรษฐกิจ ที่สหรัฐจะไม่เจรจาเรื่องกำแพงภาษีกับคู่พิพาท
3) มาตรการบังคับของสหรัฐให้หยุดยิงครั้งนี้ เป็นการกดดันกับสิ่งที่รัฐคู่พิพาทต้องการอย่างมาก คือ การเจรจาเพื่อผ่อนคลายผลที่จะเกิดเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจภายใน เพราะทุกประเทศต้องการการส่งสินค้าออกไปตลาดสหรัฐ
4) ในเบื้องต้น ผู้นำรัฐทั้ง 2 คงต้องตอบรับกับเสียงเรียกร้องของทำเนียบขาว แต่ในทางปฏิบัตินั้น การหยุดยิงจะเริ่มได้จริงเมื่อใด และจะหยุดอย่างไร
5) การเจรจาสันติภาพเพื่อยุติปัญหานี้ จะปรากฏในรูปแบบใด จะดำรงเวทีที่เป็นทวิภาคี หรือสหรัฐจะเข้ามาเป็น “คนกลาง”
6) ในสงครามชุดนี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ถึงบทบาทของจีนที่อาจจะเข้ามาเป็น “คนกลาง” เพราะการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างประเทศทั้ง 2
7) ในบริบทการเมืองระหว่างประเทศ หากจีนเข้ามาเป็นผู้ยุติสงคราม ก็จะนำไปสู่การขยายบทบาทของจีนในภูมิภาค (เช่นที่ญี่ปุ่นเคยมีบทบาทเช่นนี้ในการยุติสงครามอินโดจีน 2484)
8) ในมุมมองของเวทีโลก ไม่มีใครอยากเห็นสงครามชายแดนไทย-กัมพูชาขยายตัว จนกลายเป็น “สงครามที่ควบคุมไม่ได้” และนำไปสู่การไร้เสถียรภาพของภูมิภาค เพราะเวทีโลกยังเผชิญกับปัญหาสงครามที่ไม่มีข้อยุติ คือ สงครามยูเครน และสงครามกาซ่า
9) ในเวทีโลก อาจจะไม่มีใครใส่ใจว่าสงครามเริ่มต้นอย่างไร แต่จะสนใจความสูญเสียที่เกิดกับประชาชน และกับระดับของการใช้กำลัง ประชาคมโลกจึงอยากเห็นการยุติสงคราม และถ้าสงครามยังขยายตัวไปไม่หยุด เวทีโลกพร้อมที่กดดันด้วยมาตรการบังคับให้เกิดการหยุดยิง
10) การใช้มาตรการบังคับของสหรัฐ เห็นมาแล้วในเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ด้วยการเป็นคนกลางให้เกิดการยุติสงครามระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) กับราวันดา ที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตและผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมาก
11) อดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่า ถ้าทรัมป์ยุติสงครามด้วยมาตรการบังคับทางเศรษฐกิจได้จริงแล้ว ทรัมป์อาจกลายเป็นผู้ได้รับ ”รางวัลโนเบิลวาขาสันติภาพ” ได้ไม่ยาก … คิดเล่นๆ ครับ !
12) ปีกอนุรักษ์นิยมสุดโต่งไทยอาจไม่ตอบรับ เพราะคนกลุ่มนี้อยากเห็นการขยายตัวของสงคราม และนำไปสู่การทำลายล้างขนาดใหญ่กับเป้าหมายในกัมพูชา แต่ต้องตระหนักเสมอว่า ไทยไม่ใช่อิสราเอลที่จะเปิดสงครามได้อย่างสุดโต่งเช่นในกาซ่า
หลังจากคำร้องของทำเนียบขาวออกมาในคืนวันเสาร์ที่ 26 แต่เช้าวันอาทิตย์ที่ 27 สงครามยังดำเนินต่อไปเสมือนหนึ่งผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ยัง “ปิดหู” จากเสียงของทรัมป์ แม้ทรัมป์จะแถลงว่า ได้คุยกับผู้นำทั้ง 2 แล้วก็ตาม
ดังนั้น จึงน่าติดตามอย่างมากว่า รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศจะ “ปีนลง” อย่างไรจากสถานการณ์สงครามชายแดนที่เกิดขึ้นครั้งนี้ !